พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,529 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเฉลี่ยทรัพย์: เริ่มนับระยะเวลาหลังอายัดตามคำพิพากษา และสิทธิของโจทก์ที่ได้รับความยินยอมจากสามี
ในกรณีร้องขอเฉลี่ยทรัพย์มาตรา 290 วรรคสี่ บัญญัติห้ามมิให้ยื่นคำขอช้ากว่า 3 เดือนนับแต่วันอายัด นั้นมีความหมายถึงการอายัดตามคำพิพากษาเท่านั้น หาใช่มุ่งหมายให้นับแต่วันอายัดก่อนมีคำพิพากษาไม่
ภรรยาได้รับความยินยอมจากสามีให้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกหนี้สิน จนศาลพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้แล้ว เมื่อจำเลยถูกเจ้าหนี้อื่นยึดและอายัดทรัพย์ไว้ก่อนแล้วภรรยาผู้เป็นโจทก์ก็มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ โดยในชั้นขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยผู้นี้ ภรรยาไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามีซ้ำอีก
คำว่า 'ลูกหนี้ตามคำพิพากษา' ในมาตรา 290 นั้นหมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ถูกยึดทรัพย์ ไม่หมายความว่ามีทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาคนอื่นๆอยู่อีก
ภรรยาได้รับความยินยอมจากสามีให้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกหนี้สิน จนศาลพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้แล้ว เมื่อจำเลยถูกเจ้าหนี้อื่นยึดและอายัดทรัพย์ไว้ก่อนแล้วภรรยาผู้เป็นโจทก์ก็มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ โดยในชั้นขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยผู้นี้ ภรรยาไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามีซ้ำอีก
คำว่า 'ลูกหนี้ตามคำพิพากษา' ในมาตรา 290 นั้นหมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ถูกยึดทรัพย์ ไม่หมายความว่ามีทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาคนอื่นๆอยู่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยเรื่องตัวแทนในคดีแพ่ง แม้คดีอาญายกฟ้อง
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับผู้กระทำผิด จึงให้ยกฟ้องแต่วินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเคยเชิดผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนทำให้ผู้เสียหายเข้าใจผิด จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้เสียหายเสมือนผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนของจำเลยพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ฟังว่าผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนนี้เป็นการวินิจฉัยคดีเฉพาะในส่วนแพ่งโดยตรงซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีอาญาแต่อย่างใด ศาลสูงจึงไม่จำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาในเรื่องตัวแทนนี้ด้วย
ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับผู้กระทำผิด จึงให้ยกฟ้องแต่วินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเคยเชิดผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนทำให้ผู้เสียหายเข้าใจผิด จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้เสียหายเสมือนผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนของจำเลยพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ฟังว่าผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนนี้เป็นการวินิจฉัยคดีเฉพาะในส่วนแพ่งโดยตรงซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีอาญาแต่อย่างใด ศาลสูงจึงไม่จำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาในเรื่องตัวแทนนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยคดีแพ่งตามคำพิพากษาคดีอาญา: ศาลฎีกาไม่ผูกพันข้อเท็จจริงในส่วนแพ่งที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับผู้กระทำผิด จึงให้ยกฟ้อง แต่วินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเคยเชิดผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนทำให้ผู้เสียหายเข้าใจผิด จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้เสียหายเสมือนผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนของจำเลยพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ฟังว่า ผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนนี้ เป็นการวินิจฉัยคดีเฉพาะในส่วนแพ่งโดยตรง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีอาญาแต่อย่างใดศาลสูงจึงไม่จำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาในเรื่องตัวแทนนี้ด้วย
ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นกับผู้กระทำผิด จึงให้ยกฟ้อง แต่วินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเคยเชิดผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนทำให้ผู้เสียหายเข้าใจผิด จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้เสียหายเสมือนผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนของจำเลยพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ฟังว่า ผู้กระทำผิดเป็นตัวแทนนี้ เป็นการวินิจฉัยคดีเฉพาะในส่วนแพ่งโดยตรง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีอาญาแต่อย่างใดศาลสูงจึงไม่จำเป็นจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาในเรื่องตัวแทนนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธหนี้สินโดยอ้างเหตุผลชัดเจน ถือเป็นการให้การที่มีเหตุ ไม่ใช่การปฏิเสธลอยๆ ทำให้จำเลยมีสิทธิสืบพยาน
โจทก์ฟ้องเรียกค่านมสดที่ค้างชำระจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ตกลงซื้อนมมาจากโจทก์ไปแล้ว ยังค้างชำระเงินค่านมอยู่จำนวนหนึ่ง จำเลยให้การปฏิเสธว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริง จำเลยไม่เคยซื้อนมโคจากโจทก์ ไม่ว่าโดยตกลงกันอย่างไร แม้เพียงเสนอทาบทามถามซื้อก็ไม่เคยเลยและว่าไม่มีหนี้สินเกี่ยวค้างดังที่โจทก์ฟ้องเรียกด้วย ดังนี้เป็นคำให้การที่อ้างเหตุไว้แล้วไม่ใช่แฏิเสธลอย ๆ ฉะนั้นจำเลยจึงมีสิทธินำพยานสืบตามที่ให้การไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธหนี้โดยอ้างเหตุ จำเลยมีสิทธิสืบพยานตามเหตุที่อ้างได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่านมสดที่ค้างชำระจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ตกลงซื้อนมมาจากโจทก์ได้รับนมจากโจทก์ไปแล้ว ยังค้างชำระเงินค่านมอยู่จำนวนหนึ่ง จำเลยให้การปฏิเสธว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริงจำเลยไม่เคยซื้อนมโคจากโจทก์ ไม่ว่าโดยตกลงกันอย่างไร แม้เพียงเสนอทาบทามถามซื้อก็ไม่เคยเลยและว่าไม่มีหนี้สินเกี่ยวค้างดังที่โจทก์ฟ้องเรียกด้วย ดังนี้เป็นคำให้การที่อ้างเหตุไว้แล้วไม่ใช่ปฏิเสธลอยๆ ฉะนั้นจำเลยจึงมีสิทธินำพยานสืบตามที่ให้การไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีที่ดินเมื่อมีการโอนอำนาจจากสภาฯ ไปยังเทศบาล
ที่ดินซึ่งอยู่ในความครอบครองจัดการของสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตะวันตก ซึ่งต่อมาได้มีกฎหมายโอนกิจการอำนาจและหน้าที่ของสภานี้ให้แก่เทศบาล นั้นการฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เช่นฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่แปลงนี้ ย่อมตกเป็นอำนาจและหน้าที่ของเทศบาล ข้าหลวงประจำจังหวัดหามีอำนาจฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีที่ดิน: โอนจากสภาฯสู่เทศบาล ข้าหลวงประจำจังหวัดไม่มีอำนาจ
ที่ดินซึ่งอยู่ในความครอบครองจัดการของสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตวันตก ซึ่งต่อมาได้มีกฎหมายโอนกิจการอำนาจและหน้าที่ของสภานี้ให้แก่เทศบาลนั้น การฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินแปบงนี้ เช่นฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในแปลงนี้ ย่อมตกเป็นอำนาจและหน้าที่ของเทศบาล ข้าหลวงประจำจังหวัดหามีอำนาจฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าตึกแถวให้คนยามของบริษัท ไม่ถือเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยทั่วไป จึงไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
นิติบุคคลเช่าตึกแถวให้คนยามของตนอยู่อาศัยก็ถือได้ว่าเป็นกิจการส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางธุระกิจของนิติบุคคลนั้นเองดังจะเห็นได้ว่า เมื่อคนยามที่อาศัยอยู่นั้นพ้นจากหน้าที่การงานในบริษัทไปแล้ว บริษัทก็ย่อมให้คนงานคนใหม่ของบริษัทเข้ามาอยู่แทนเรื่อยๆ ไปการเช่าเช่นนี้จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ: การเช่าตึกแถวให้คนยามไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
นิติบุคคลเช่าตึกแถวให้คนยามของตนอยู่อาศัย ก็ถือได้ว่าเป็นกิจการส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจของนิติบุคคลนั้นเอง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อคนยามที่อาศัยอยู่นั้นพ้นจากหน้าที่การงานในบริษัทไปแล้วบริษัทก็ย่อมให้คนงานคนใหม่ของบริษัทเข้ามาอยู่แทนเรื่อยๆ ไปการเช่าเช่นนี้จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การกรีดยางหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด ถือเป็นการรอนสิทธิเจ้าของ
โจทก์จำเลยต่างเถียงกรรมสิทธิ์ในสวนยางกันจนคดีถึงศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามไม่ให้โจทก์ (ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิม) เกี่ยวข้องกับสวนพิพาทจำเลยจึงเข้ากรีดยางแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ชนะ ศาลฎีกาพิพากษายืนที่สวนยางนี้เป็นของโจทก์เพราะศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วเมื่อปรากฏว่าจำเลยได้กรีดยางในสวนยางนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะจนถึงศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ดังนี้จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ ในการที่จำเลยกรีดน้ำยางในสวนยางของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามไม่ให้โจทก์ (ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิม) เกี่ยวข้องกับสวนพิพาทจำเลยจึงเข้ากรีดยางแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ชนะ ศาลฎีกาพิพากษายืนที่สวนยางนี้เป็นของโจทก์เพราะศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วเมื่อปรากฏว่าจำเลยได้กรีดยางในสวนยางนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะจนถึงศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ดังนี้จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ ในการที่จำเลยกรีดน้ำยางในสวนยางของโจทก์