พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,529 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงแบ่งที่ดินไม่ชัดเจน ศาลอนุญาตให้ประมูลได้
ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งถ้าแบ่งไม่ตกลงกัน ก็ไห้ประมูลหรือขายทอดตลาด โจทก์จำเลยตกลงกันว่า โจทก์เลือกเอาที่ดินด้านตะวันออก จำเลยเอาด้านตะวันตกคนละครึ่ง แต่ไม่ได้ตกลงกันให้แน่นอนว่าจะตั้งต้นวัดแบ่งจากจุดใจจุดหนึ่งของที่ดินด้านเหนือ หรือด้านใต้ ดังนี้ เมื่อการรังวัดแบ่งแยกของเจ้าพนักงานไม่เป็นที่พึงพอใจของคู่ความหรือพอใจแต่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ ต้องฟังว่าการแบ่งที่ดินไม่ตกลงกันตามคำพิพากษา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอถอนข้อตกลงที่ไม่แน่นอนนั้น และขอให้ประมูลหรือขายทอดตลาดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงแบ่งที่ดินไม่ชัดเจน ศาลอนุญาตให้ประมูลได้
ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง ถ้าแบ่งไม่ตกลงกัน ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาด โจทก์จำเลยตกลงกันว่าโจทก์เลือกเอาที่ดินด้านตะวันออก จำเลยเอาด้านตะวันตกคนละครึ่ง แต่ไม่ได้ตกลงกันให้แน่นอนว่าจะตั้งต้นวัดแบ่งจากจุดใดจุดหนึ่งของที่ดินด้านเหนือหรือด้านใต้ ดังนี้ เมื่อการรังวัดแบ่งแยกของเจ้าพนักงานไม่เป็นที่พึงพอใจของคู่ความหรือพอใจแต่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ ต้องฟังว่าการแบ่งที่ดินไม่ตกลงกันตามคำพิพากษา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอถอนข้อตกลงที่ไม่แน่นอนนั้น และขอให้ประมูลหรือขายทอดตลาดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายต้องมีการตกลงกันชัดเจน หากไม่มีการตกลงซื้อขาย ศาลไม่สามารถบังคับให้โอนกรรมสิทธิ์ได้
ฟ้องขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขาย แต่ตามคำบรรยายฟ้องและข้อเท็จจริงที่สืบ หาได้มีการตกลงจะซื้อขายกันต่อไม่ ดังนี้ศาลบังคับให้ไม่ได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายต้องมีข้อตกลงชัดเจน การครอบครองที่ดินเพื่อทำกินยังไม่ถือเป็นการซื้อขาย
ฟ้องขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายแต่ตามคำบรรยายฟ้องและข้อเท็จจริงที่สืบ หาได้มีการตกลงจะซื้อขายต่อกันไม่ดังนี้ ศาลบังคับให้ไม่ได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน หากยังไม่เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด
จำเลยตกลงขายที่พิพาทซึ่งโจทก์เคยขายฝากไว้แก่สามีจำเลย คืนแก่โจทก์และรับเงินราคาค่าที่ดินจากโจทก์ไว้แล้วต่อมาได้พากันไปยังหอทะเบียนที่ดิน เพื่อแบ่งแยกและโอนขายที่ดินให้กันตามที่ตกลงแต่โอนยังไม่ได้ เพราะจำเลยยังมิได้ประกาศรับมรดกสามีจำเลย จำเลยจึงทำใบมอบฉันทะให้จำเลยด้วยกัน เพื่อจะแย่งแยกที่ดินและโอนขายให้โจกท์ไว้เช่นนี้ ถือว่าเป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่เป็นสัญญาขายเด็ดขาดไม่จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหนักงานเจ้าหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน หากยังไม่ได้มีการซื้อขายเด็ดขาด
จำเลยตกลงขายที่พิพาทซึ่งโจทก์เคยขายฝากไว้แก่สามีจำเลยคืนแก่โจทก์และรับเงินราคาค่าที่ดินจากโจทก์ไว้แล้ว ต่อมาได้พากันไปยังหอทะเบียนที่ดิน เพื่อแบ่งแยกและโอนขายที่ดินให้กันตามที่ตกลงแต่โอนยังไม่ได้ เพราะจำเลยยังมิได้ประกาศรับมรดกสามีจำเลย จำเลยจึงทำใบมอบฉันทะให้จำเลยด้วยกัน เพื่อจะแบ่งแยกที่ดินและโอนขายให้โจทก์ไว้เช่นนี้ ถือว่าเป็นสัญญาจะซื้อขาย หาใช่เป็นสัญญาขายเด็ดขาดไม่จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ตึกส่วนควบที่ดิน & สัญญาเช่าที่เจ้าของร่วมไม่ได้ยินยอม
เจ้าของที่ดินทำสัญญากับผู้เช่าให้ผู้เช่าปลูกตึกคนกรีตลงในที่ดินของตนโดยให้ผู้เช่าเป็นผู้ออกเงินค่าปลูกสร้างเป็นเงินจำนวนหนึ่ง แล้วเจ้าของที่ดินยอมให้ผู้เช่าเช่าตึกนั้นมีกำหนด 3 ปี ดังนี้ เป็นเพียงผู้เช่าออกเงินค่าก่อสร้างไปแทนเจ้าของที่ดินเท่านั้น ตามลักษณะของทรัพย์ที่เป็นตึก จะแยกจากที่ดินไปได้ ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงตกเป็นของเจ้าของที่ดินด้วย
การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์มาแต่แรกแต่คนเดียวเอาทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่าแล้วเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาเช่าโดยอ้างว่าไม่ได้รับความยินยอม จากตนและเจ้าของร่วมคนที่ฟ้องจะต้องนำสืบว่าตนและเจาของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งไม่ได้ยินยอมและผู้เช่าผู้เป็นคู่สัญญาก็รู้ถึงความเห็นส่วนมากของเจาของร่วมนี้ด้วย ึงจะพ้นจากความรับผิดได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับเงินค่าก่อสร้างตึกที่จำเลยออกแทนไป เพื่อขับไล่จำเลยออกจากตึกนี้ แต่เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะขับไล่ทั้งจำเลยก็มิได้ขอเรียกเงินจำนวนนี้จากโจทก์จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้เขาหรือไม่ ไม่ใช่คำบังคับ
การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์มาแต่แรกแต่คนเดียวเอาทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่าแล้วเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาเช่าโดยอ้างว่าไม่ได้รับความยินยอม จากตนและเจ้าของร่วมคนที่ฟ้องจะต้องนำสืบว่าตนและเจาของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งไม่ได้ยินยอมและผู้เช่าผู้เป็นคู่สัญญาก็รู้ถึงความเห็นส่วนมากของเจาของร่วมนี้ด้วย ึงจะพ้นจากความรับผิดได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับเงินค่าก่อสร้างตึกที่จำเลยออกแทนไป เพื่อขับไล่จำเลยออกจากตึกนี้ แต่เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะขับไล่ทั้งจำเลยก็มิได้ขอเรียกเงินจำนวนนี้จากโจทก์จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้เขาหรือไม่ ไม่ใช่คำบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินส่วนควบ สัญญาเช่าที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วม และสิทธิในการเรียกค่าปลูกสร้าง
เจ้าของที่ดินทำสัญญากับผู้เช่าให้ผู้เช่าปลูกตึกคอนกรีตลงในที่ดินของตน โดยให้ผู้เช่าเป็นผู้ออกเงินค่าปลูกสร้างเป็นเงินจำนวนหนึ่งแล้วเจ้าของที่ดินยอมให้ผู้เช่าเช่าตึกนั้นมีกำหนด 3 ปี ดังนี้ เป็นเพียงผู้เช่าออกเงินค่าก่อสร้างไปแทนเจ้าของที่ดินเท่านั้น ตามลักษณะของทรัพย์ที่เป็นตึก จะแยกจากที่ดินไม่ได้ ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงตกเป็นของเจ้าของที่ดินด้วย
การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์มาแต่แรกแต่คนเดียวเอาทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่า แล้วเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาเช่าโดยอ้างว่าไม่ได้รับความยินยอมจากตนและเจ้าของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งนั้นเป็นหน้าที่เจ้าของร่วมคนที่ฟ้องจะต้องนำสืบว่าตนและเจ้าของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งไม่ได้ยินยอมและผู้เช่าผู้เป็นคู่สัญญาก็รู้ถึงความเห็นส่วนมากของเจ้าของร่วมนี้ด้วยจึงจะปลีกพ้นจากความรับผิดได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับเงินค่าก่อสร้างตึกที่จำเลยออกแทนไปเพื่อขับไล่จำเลยออกจากตึกนี้ แต่เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะขับไล่ทั้งจำเลยก็มิได้ขอเรียกเงินจำนวนนี้จากโจทก์ จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้เขาหรือไม่ไม่ใช่คำบังคับ
การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการทรัพย์มาแต่แรกแต่คนเดียวเอาทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่า แล้วเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งมาฟ้องขอให้ทำลายสัญญาเช่าโดยอ้างว่าไม่ได้รับความยินยอมจากตนและเจ้าของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งนั้นเป็นหน้าที่เจ้าของร่วมคนที่ฟ้องจะต้องนำสืบว่าตนและเจ้าของร่วมคนอื่นอีกคนหนึ่งไม่ได้ยินยอมและผู้เช่าผู้เป็นคู่สัญญาก็รู้ถึงความเห็นส่วนมากของเจ้าของร่วมนี้ด้วยจึงจะปลีกพ้นจากความรับผิดได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับเงินค่าก่อสร้างตึกที่จำเลยออกแทนไปเพื่อขับไล่จำเลยออกจากตึกนี้ แต่เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะขับไล่ทั้งจำเลยก็มิได้ขอเรียกเงินจำนวนนี้จากโจทก์ จึงเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะใช้เขาหรือไม่ไม่ใช่คำบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การบอกเลิกสัญญา, และการใช้สิทธิฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ทำสัญญาเช่าบ้านกับบิดาเจ้าของบ้าน เมื่อผู้เช่าประพฤติผิดสัญญาเช่า บิดาเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ให้เช่าย่อมีอำนาจฟ้องผู้เช่าได้ เพราะเป็นคู่สัญญากับผู้เช่าได้รับประโยชน์ในสัญญาแล้ว
ในกรณีที่ผู้เช่าไม่สงวนสถานที่เช่าเสมอกับวิญญูชนจะถึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง แม้ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวก่อนตาม ป.ม. แพ่งมาตรา 554 แต่ถ้าการเช่นนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วเพราะหมดอายุสัญญาเช่าผู้ให้เช่าก็มีสิทธิฟ้องผู้เช่าในเหตุนี้ได้ โดยมิต้องบอกกล่าวก่อน เพราะ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ มาตรา 16(4) มิได้มีบทบัญญัติให้ต้องบอกกล่าวไม่
อยู่ในบ้านเช่า 5 ครัวต่างทำครัวของตนเองทั้งชั้นบนและชั้นล่างและที่ระเบียง บ้านมีลักษณะเก่าหน้าต่างชำรุด เป็นพฤติการณ์ที่ขับไล่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(4)
ในกรณีที่ผู้เช่าไม่สงวนสถานที่เช่าเสมอกับวิญญูชนจะถึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง แม้ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวก่อนตาม ป.ม. แพ่งมาตรา 554 แต่ถ้าการเช่นนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วเพราะหมดอายุสัญญาเช่าผู้ให้เช่าก็มีสิทธิฟ้องผู้เช่าในเหตุนี้ได้ โดยมิต้องบอกกล่าวก่อน เพราะ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ มาตรา 16(4) มิได้มีบทบัญญัติให้ต้องบอกกล่าวไม่
อยู่ในบ้านเช่า 5 ครัวต่างทำครัวของตนเองทั้งชั้นบนและชั้นล่างและที่ระเบียง บ้านมีลักษณะเก่าหน้าต่างชำรุด เป็นพฤติการณ์ที่ขับไล่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การสิ้นสุดสัญญา, และการฟ้องขับไล่โดยไม่ต้องบอกกล่าว
ทำสัญญาเช่าบ้านกับบิดาเจ้าของบ้าน เมื่อผู้เช่าประพฤติผิดสัญญาเช่าบิดาเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าได้ เพราะเป็นคู่สัญญากับผู้เช่าและผู้เช่าได้รับประโยชน์ในสัญญาแล้ว
ในกรณีที่ผู้เช่าไม่สงวนสถานที่เช่าเสมอกับวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง แม้ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวก่อนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 554 แต่ถ้าการเช่านั้นได้สิ้นสุดลงแล้วเพราะหมดอายุสัญญาเช่าผู้ให้เช่าก็มีสิทธิฟ้องผู้เช่าในเหตุนี้ได้โดยมิต้องบอกกล่าวก่อน เพราะ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(4)มิได้มีบทบัญญัติให้ต้องบอกกล่าวไม่
อยู่ในบ้านเช่า 8 ครัวต่างทำครัวของตนเองทั้งชั้นบนชั้นล่างและที่ระเบียงบ้านมีลักษณะเก่าหน้าต่างชำรุดเป็นพฤติการณ์ที่ขับไล่ได้ตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า มาตรา16(4)
ในกรณีที่ผู้เช่าไม่สงวนสถานที่เช่าเสมอกับวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง แม้ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวก่อนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 554 แต่ถ้าการเช่านั้นได้สิ้นสุดลงแล้วเพราะหมดอายุสัญญาเช่าผู้ให้เช่าก็มีสิทธิฟ้องผู้เช่าในเหตุนี้ได้โดยมิต้องบอกกล่าวก่อน เพราะ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ มาตรา 16(4)มิได้มีบทบัญญัติให้ต้องบอกกล่าวไม่
อยู่ในบ้านเช่า 8 ครัวต่างทำครัวของตนเองทั้งชั้นบนชั้นล่างและที่ระเบียงบ้านมีลักษณะเก่าหน้าต่างชำรุดเป็นพฤติการณ์ที่ขับไล่ได้ตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า มาตรา16(4)