พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,529 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามสัญญา การส่งมอบสินค้าไม่ครบถ้วน และผลกระทบต่อการผิดสัญญา
โจทก์จำเลย สัญญาตกลงกันว่าจำเลยจะจัดการซ่อมแซมและจัดหาเครื่องจักรให้พร้อมบูรณ์เหมือนเดิม ส่งมอบให้โจทก์ก่อนวันที่ 25 กันยายน แต่โจทก์จะต้องมีกรรมการผู้เป็นกลางไปตรวจรับมอบด้วย 3 คน ครั้นถึงวันที่ 25 กันยายนแม้โจทก์จะมีกรรมการคนเดียวไปรับมอบขาดกรรมการไป 2 คนแต่ปรากฏว่า จำเลยยังจัดการซ่อมแซมเครื่องจักรไม่เสร็จและยังจัดหาเครื่องจักรไม่ครบถ้วนดังนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญายังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของคณะรัฐมนตรีในการจัดตั้งองค์การเพื่อลดค่าครองชีพ และการสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
การที่คณะรัฐมนตรีลงมติตั้งองค์การสรรพาหารขึ้น เพื่อดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชนนั้นย่อมเป็นการดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชน ให้ประชาชนได้มีอาหารครองชีพถูก จึงอยู่ภายในวัตถุที่ประสงค์ของการบริหารแผ่นดินคณะรัฐมนตรีจึงมีอำนาจจัดตั้งองค์การนี้ขึ้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2484-2495มาตรา 5 มีว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และราชการอื่นๆ ซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การสรรพาหารอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี จึงชอบแล้วเพราะวัตถุประสงค์ขององค์การสรรพาหาร เป็นราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ทั้งเป็นราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ
องค์การสรรพาหารมิใช่กระทรวง ทบวงหรือกรม การตั้งจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติและไม่ตั้งขึ้นเป็นการแบ่งส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นงานที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการงานเท่านั้นจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
อนึ่งแม้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2484มาตรา 6 จะแยกราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ ไม่มีกล่าวถึงองค์การสรรพาหารแต่เมื่อกิจการขององค์การสรรพาหารอยู่ในวัตถุประสงค์ของสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว เมื่อไม่อาจขึ้นอยู่ในกรมใดในสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังอาจขึ้นอยู่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เพราะกรมเลขาธิการเป็นกรมที่ทำหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงจึงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมิได้แยกไปให้เป็นหน้าที่ของกรมหนึ่งกรมใดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2476มาตรา 11 ดังที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ พ.ศ.2477มาตรา 4
ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2484-2495มาตรา 5 มีว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และราชการอื่นๆ ซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การสรรพาหารอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี จึงชอบแล้วเพราะวัตถุประสงค์ขององค์การสรรพาหาร เป็นราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ทั้งเป็นราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ภายในวงอำนาจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ
องค์การสรรพาหารมิใช่กระทรวง ทบวงหรือกรม การตั้งจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติและไม่ตั้งขึ้นเป็นการแบ่งส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นงานที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการงานเท่านั้นจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
อนึ่งแม้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2484มาตรา 6 จะแยกราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ ไม่มีกล่าวถึงองค์การสรรพาหารแต่เมื่อกิจการขององค์การสรรพาหารอยู่ในวัตถุประสงค์ของสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว เมื่อไม่อาจขึ้นอยู่ในกรมใดในสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังอาจขึ้นอยู่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เพราะกรมเลขาธิการเป็นกรมที่ทำหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวงจึงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมิได้แยกไปให้เป็นหน้าที่ของกรมหนึ่งกรมใดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2476มาตรา 11 ดังที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ พ.ศ.2477มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของคณะรัฐมนตรีในการจัดตั้งองค์การสรรพาหารเพื่อลดค่าครองชีพ และการสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
การที่คณะรัฐมนตรีลงมติตั้งองค์การสรรพาหารขึ้น เพื่อดำเนินการลดค่าครองชีพของประชาชนนั้น ย่อมเป็นการดำ เนินการลดค่าครองชีพของประชาชน ให้ประชาชนได้มีอาหารครองชีพถูก จึงอยู่ภายในวัตถุที่ประสงค์ของการบริ หารแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีจึงมีอำนาจจัดตั้งองค์การณ์นี้ขึ้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย.
ตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวงทะบวงกรม พ.ศ. 2484 - 2495 มาตรา 5 มีว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่ เกี่ยวกับราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และราชการอื่น ๆ ซื่งมิได้อยู่ภายในวงอำนสจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่ง กระทรวงใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การสรรพาหารอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี จึงชอบแล้ว เพราะวัตถุประสงค์ขององค์การณ์สรรพาหาร เป็นราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ทั้งเป็นราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ภาย ในวงอำนาจและหน้าทีของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ
องค์การสรรพาหารมิใช่กระทรวง ทะบวงหรือกรม การตั้งจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัตและไม่ตั้งขึ้นเป็นการ แบ่งส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นงานที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการ งานเท่านั้นจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา,
อนึ่งแม้ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวงทะบวงกรม พ.ศ. 2484 มาตรา 6 จะแยกราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ ไม่มี กล่าวถึงองค์การสรรพาหารแต่เมื่อกิจการขององค์การสรรพาหารอยู่ในวัตถุประสงค์ของสำนักนายกรัฐมนตรีดัง กล่าวแล้ว เมื่อไม่อาจขึ้นอยู่ในกรมใดในสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังอาจขึ้นอยู่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ เพราะกรมเลขาธิการเป็นกรมที่ทำหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวง จึงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของสำนักนายกรัฐมน ตรี ซึ่งมิได้แยกไปให้เป็นหน้าที่ของกรมหนึ่งกรมใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2476 มาตรา 11 ดังที่แก้ไขโดย พ.ร.บ. พ.ศ. 2477 มาตรา 4./
ตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวงทะบวงกรม พ.ศ. 2484 - 2495 มาตรา 5 มีว่า สำนักนายกรัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่ เกี่ยวกับราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี และราชการอื่น ๆ ซื่งมิได้อยู่ภายในวงอำนสจและหน้าที่ของกระทรวงหนึ่ง กระทรวงใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การสรรพาหารอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี จึงชอบแล้ว เพราะวัตถุประสงค์ขององค์การณ์สรรพาหาร เป็นราชการทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ทั้งเป็นราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ภาย ในวงอำนาจและหน้าทีของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ
องค์การสรรพาหารมิใช่กระทรวง ทะบวงหรือกรม การตั้งจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชบัญญัตและไม่ตั้งขึ้นเป็นการ แบ่งส่วนราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นงานที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการ งานเท่านั้นจึงไม่ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา,
อนึ่งแม้ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวงทะบวงกรม พ.ศ. 2484 มาตรา 6 จะแยกราชการในสำนักนายกรัฐมนตรีไว้ ไม่มี กล่าวถึงองค์การสรรพาหารแต่เมื่อกิจการขององค์การสรรพาหารอยู่ในวัตถุประสงค์ของสำนักนายกรัฐมนตรีดัง กล่าวแล้ว เมื่อไม่อาจขึ้นอยู่ในกรมใดในสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังอาจขึ้นอยู่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ เพราะกรมเลขาธิการเป็นกรมที่ทำหน้าที่สำนักงานปลัดกระทรวง จึงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของสำนักนายกรัฐมน ตรี ซึ่งมิได้แยกไปให้เป็นหน้าที่ของกรมหนึ่งกรมใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2476 มาตรา 11 ดังที่แก้ไขโดย พ.ร.บ. พ.ศ. 2477 มาตรา 4./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนเพื่อกิจการค้าไม่ใช่สาธารณูปโภค การเวนคืนจึงไม่ถูกต้อง กรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ตกเป็นของเจ้าหน้าที่
เวนคืนที่ดินของเอกชนเพื่อขยายกิจการของโรงงานเนื้อสัตว์นั้นถือว่ากิจการของโรงงานเนื้อสัตว์เป็นการค้า ไม่ใช่สาธารณูปโภคการเวนคืนที่ดินเพื่อการนี้ จึงหาใช่เพื่อสาธารณูปโภคฉะนั้นการเวนคืน จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2477 มาตรา5 ฉะนั้นกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เวนคืน จึงไม่ตกมาเป็นของเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2477 มาตรา 10
และในกรณีเช่นนี้ แม้จะฟ้องคดี พ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันพ้นกำหนด 5 ปี ของวันประกาศใช้พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ตามมาตรา 32 แห่ง พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2477 มาตรา 32 ก็ดีก็จะเอามาปรับแก่กรณีเช่นนี้ ไม่ได้เพราะอายุความตามมาตราเหล่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อการเวนคืนได้กระทำโดยถูกต้อง
และในกรณีเช่นนี้ แม้จะฟ้องคดี พ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันพ้นกำหนด 5 ปี ของวันประกาศใช้พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ตามมาตรา 32 แห่ง พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2477 มาตรา 32 ก็ดีก็จะเอามาปรับแก่กรณีเช่นนี้ ไม่ได้เพราะอายุความตามมาตราเหล่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อการเวนคืนได้กระทำโดยถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนเพื่อกิจการค้าไม่ใช่สาธารณูปโภค กรรมสิทธิ์ไม่ตกเป็นของเจ้าหน้าที่
เวนคืนที่ดินของเอกชนเพื่อขยายกิจการของโรงงานเนื้อสัตว์นั้น ถือว่ากิจการของโรงงานเนื้อสัตว์เป็นการค้า ไม่ใช่ สาธารณูปโภคการเวนคืนที่ดินเพื่อการนี้ จึงหาใช่เพื่อสาธารณูปโภค ฉะนั้นการเวนคืน จึงเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 5 ฉะนั้นกรรมสิทธิในที่ดินที่เวนคืน จึงไม่ตกมาเป็นเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 10.
และในกรณีเช่นนี แม้จะฟ้องคดี พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนด 5 ปี ของวันประกาศใช้ พ.ร.บ. เวนคืนอสัง หาริมทรัพย์นั้นฯ ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 32 ก็ดี ก็จะเอามาปรับแก่
กรณีเช่นนี้ ไม่ได้เพราะอายุความตามมาตราเหล่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อการเวนคืนได้กระทำโดยถูกต้อง./
และในกรณีเช่นนี แม้จะฟ้องคดี พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนด 5 ปี ของวันประกาศใช้ พ.ร.บ. เวนคืนอสัง หาริมทรัพย์นั้นฯ ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 32 ก็ดี ก็จะเอามาปรับแก่
กรณีเช่นนี้ ไม่ได้เพราะอายุความตามมาตราเหล่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อการเวนคืนได้กระทำโดยถูกต้อง./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนความผิดอาญา แม้เปลี่ยนฐานความผิดระหว่างสอบสวนก็ถือว่าสมบูรณ์
การสอบสวนความผิดทางอาญานั้นแม้เดิมจะตั้งข้อหาฐานหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิดฐานอื่นด้วยก็เรียกได้ว่า ได้มีการสอบสวนในความผิดฐานอื่นนั้นด้วยแล้วไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อหาในความผิดฐานอื่นนั้นแก่ผู้ต้องหาอีกก็ถือว่าการสอบสวนนั้นสมบูรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนความผิดฐานอื่นที่มิได้แจ้งข้อหาเดิม การสอบสวนถือว่าสมบูรณ์
การสอบสวนความผิดทางอาญานั้น แม้เดิมจะตั้งข้อหาฐานหนึ่ง แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฎว่า เป็นความผิดฐานอื่น ด้วย ก็เรียกได้ว่า ได้มีการสอบสวนในความผิดฐานอื่นนั้นด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อหาในความผิดฐานอื่นนั้น แก่ผู้ต้องหาอีก ก็ถือว่าการสอบสวนนั้นสมบูรณ์แล้ว./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัตราโทษความผิดพยายามข่มขืนชำเราและขอบเขตการสืบพยาน
แม้ความผิดฐานข่มขืนชำเราตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 244วรรคต้นมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10 ปีแต่ความผิดฐานพยายามตามมาตรา 244 นั้น อย่างสูงศาลจะพิพากษาโทษได้6 ปี 8 เดือนเท่านั้นจึงเป็นคดีที่ไม่จำเป็นต้องฟังพยานโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา176 ก่อน เมื่อจำเลยรับสารภาพศาลก็ย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ทีเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัตราโทษความผิดพยายามข่มขืนชำเรา: ศาลฎีกาวินิจฉัยการลดโทษตามกฎหมาย
แม้ความผิดฐานาข่มขืนชำเราตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 244 วรรคต้นมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถือ 10 ปี แต่ ความผิดฐานพยายามตามมาตรา 244 นั้น อย่างสูงศาลจะพิพากษาโทษได้ 6 ปี 8 เดือนเท่านั้น จึงเป็นคดีที่ไม่จำเป็น ต้องฟังพยานโจทก์ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 176 ก่อน เมื่อจำเลยรับสารภาพจำเลยก็ย่อมพิพาทลงโทษจำเลยได้ที เดียว./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โทษกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย เป็นโทษเสริมจากโทษฐานความผิด ลดโทษตามมาตรา 59 ไม่ได้
แม้ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดที่จำเลยกระทำนั้น พร้อมกับเพิ่มโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 72 แล้วก็ตาม ถ้าปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายแล้ว ศาลก็เพิ่มโทษกักกันขึ้นอีกโสดหนึ่ง
โทษกักกันเป็นโทษเพิ่มสถานหนึ่งต่างหากจากโทษ อันเป็นฐานความผิดจึงจะลดโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 ไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 1387/2495)
โทษกักกันเป็นโทษเพิ่มสถานหนึ่งต่างหากจากโทษ อันเป็นฐานความผิดจึงจะลดโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 ไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 1387/2495)