คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นนทประชา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,529 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายรถยนต์ ผู้ขายมีหน้าที่รับรองการโอนกรรมสิทธิเพื่อให้ผู้ซื้อจดทะเบียนได้ แม้การจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานกรรมสิทธิ
การซื้อขายรถยนต์นั้น เมื่อซื้อขายกันอย่างในสภาพที่ใช้เดินได้. รถยนต์ไม่ใช่เศษเหล็กแล้ว นอกจากผู้ขายจะต้อง
ส่งมอบรถยนต์นั้นแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายยังมีหน้าที่ต้องรับรองต่อกองทะเบียนยานพาหนะกรมตำรวจอีกด้วยว่า ได้โอนกรรมสิทธิรถยนต์คันที่ขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อไปแล้ว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้รับจดทะเบียนรถยนต์คันนั้นให้แก่
ผู้ซื้อ แม้การจดทะเบียนจะไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งกรรมสิทธิดังเช่นโฉนดแผนที่ และการโอนกรรมสิทธในรถไม่ได้
อยู่ที่การจดทะเบียนก็ดี แต่ถึงกระนั้นการจดทะเบียนก็เป็นการจำเป็นแก่การที่จะใช้รถยนต์นั้น./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายรถยนต์ ผู้ขายมีหน้าที่รับรองการโอนกรรมสิทธิ์เพื่อให้ผู้ซื้อจดทะเบียนได้
การซื้อขายรถยนต์นั้น เมื่อซื้อขายกันอย่างรถยนต์ในสภาพที่ใช้เดินได้ไม่ใช่เศษเหล็กแล้ว นอกจากผู้ขายจะต้องส่งมอบรถยนต์นั้นแก่ผู้ซื้อแล้วผู้ขายยังมีหน้าที่ต้องรับรองต่อกองทะเบียนยานพาหนะกรมตำรวจอีกด้วยว่า ได้โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันที่ขายนั้นให้แก่ผู้ซื้อไปแล้ว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้รับจดทะเบียนรถยนต์คันนั้นให้แก่ผู้ซื้อแม้การจดทะเบียนจะไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ดังเช่นโฉนดแผนที่และการโอนกรรมสิทธิ์ในรถไม่ได้อยู่ที่การจดทะเบียนก็ดีแต่ถึงกระนั้นการจดทะเบียนก็เป็นการจำเป็นแก่การที่จะใช้รถยนต์นั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งที่ดินโดยการยึดถือครอบครองอย่างเจ้าของหลังครบกำหนดไถ่ถอนจากการซื้อฝากโดยไม่มีอำนาจ
มารดาเอาที่ดินมือเปล่าของบุตรไปขายฝากไว้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจแต่เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามสัญญาแล้วไม่มีการไถ่การยึดถือของผู้รับซื้อฝากในที่ดินนั้นย่อมเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367เมื่อเกิน 1 ปีแล้ว บุตรผู้เป็นเจ้าของก็หมดสิทธิที่จะเรียกที่ดินคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดคดีผู้พิทักษ์เนื่องจากผู้เสมือนไร้ความสามารถถึงแก่กรรม ทรัพย์สินตกทอดสู่ทายาท
ร้องขอเป็นผู้พิทักษ์ผู้เสมือนไร้ความสามารถ เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฎว่าผู้เสมือนไร้ความสามารถถึงแก่กรรมลง ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อย่างใดที่จะพิจารณากันต่อไปว่าผู้ร้องสมควรจะเป็นผู้พิทักษ์หรือไม่เพราะทรัพย์มรดกของผู้
ตาย ย่อมตกทอดไปยังทายาทโดยอำนาจแห่งกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาจึงต้องสั่งจำหน่ายคดีชั้นฎีกาเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแบ่งที่ดินมรดก: ศาลพิพากษาเกินคำขอหรือไม่?
โจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินตามคำขอท้ายฟ้องก็มีเพียงขอให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์อย่างเดียวศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดินให้แล้วยังได้เลยพิพากษาต่อไปว่า ถ้าคู่ความตกลงแบ่งกันเองไม่ได้ ให้ประมูลระหว่างคู่ความหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนดังนี้ ย่อมมีอำนาจทำได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอเพราะเป็นวิธีการที่ศาลจะแบ่งที่ดินให้แก่คู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเป็นสาระสำคัญ หากไม่ครบถ้วน ฎีกาไม่รับพิจารณา
แม้ศาลจะได้ดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวเป็นการถูกต้องตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 182 วรรค 3 แล้ว แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ก็ไม่ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 216 ฉะนั้นหากโจทก์จะฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็จะรับพิจารณาฎีกาของโจทก์ไม่ได้ต้องให้จำหน่ายคดี ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง: เงื่อนไขการฎีกา
แม้ศาลจะได้ดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวเป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 182 วรรคสาม แล้ว แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ก็ไม่ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 216 ฉะนั้นหากโจทก์จะฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็จะรับพิจารณาฎีกาของโจทก์ไม่ได้ ต้องให้จำหน่ายคดี ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1595/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องฉ้อโกง: ความสมบูรณ์ของฟ้อง แม้ขาดรายละเอียดวันเวลาที่ทราบการกระทำผิด
ในคดีความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวนั้น แม้ในฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่าได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิด วันเดือนปีใด ก็ตาม เมื่อฟ้องข้ออื่นสมบูรณ์แล้ว ก็หาทำให้ฟ้องโจทก์ถึงกับเคลือบคลุมไม่ เพราะข้อที่โจทก์มิได้บรรยายนั้น เป็นเพียงแต่ข้อนำสืบต่อไปว่า ได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อใดเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1595/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีฉ้อโกง แม้ขาดรายละเอียดวันเดือนปีที่ทราบถึงความผิด
ในคดีความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวนั้น แม้ในฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายว่าได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิดวันเดือนปีใด ก็ตาม เมื่อฟ้องข้ออื่นสมบูรณ์แล้วก็หาทำให้ฟ้องโจทก์ถึงกับเคลือบคลุมไม่ เพราะข้อที่โจทก์มิได้บรรยายนั้น เป็นเพียงแต่ข้อนำสืบต่อไปว่าได้ทราบว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อใดเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1593-1594/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานเพิ่มเติมในเอกสารที่ไม่ใช่พยานเอกสารตามกฎหมาย
ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 94 ห้ามมิให้มีการสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร แต่เฉพาะในกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
ผู้อยู่ในบ้านเช่า ทำหนังสือไว้แก่ผู้เช่าบ้านนั้นว่า ตนรับเฝ้าบ้านเช่าให้แก่ผู้เช่า ไม่ใช่เช่าช่วงและไม่ได้เสียเงินให้ผู้เช่า ดังนี้ หนังสือดังกล่าวไม่ใช่พยานเอกสารชนิดที่มีกฎหมายบังคับว่า ต้องนำแสดง ฉะนั้น การสืบเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง เช่นสืบว่าตนเช่าช่วงบ้านนั้นจากผู้เช่า ดังนี้ ย่อมสืบได้ไม่ต้องห้าม
of 153