คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นนทประชา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,529 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1870/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินแทนเงิน: สัญญาให้ยึดที่ดินเป็นประกันเมื่อผิดนัด
จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 250 บาท โดยมอบที่ดินบ้านให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันและมีเงื่อนไขว่า จะชำระเงินกู้ภายในกำหนด 15 วันถ้าพ้นกำหนด 15 วัน ที่ดินรายนี้คิดเป็นราคาที่ดิน 250 บาทต้องได้กับโจทก์ ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ก็ต้องให้ที่ดินรายนี้แก่โจทก์ เพราะได้กำหนดที่ดินโดยกำหนดราคาลงแน่นอนเป็นการชำระหนี้แทนตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสอง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินนั้นแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายที่ดินที่เกินเลยเจตนาเดิมของผู้มอบอำนาจเป็นโมฆะ ผู้มอบอำนาจมีสิทธิขอเพิกถอนได้
บุตรคนหนึ่งเอาแบบพิมพ์มาให้มารดาพิมพ์ลายนิ้วมือโดยแจ้งว่าจะเอาไปจัดการใส่ชื่อบุตรคนนั้นลงในโฉนดที่ดินของมารดาด้วย มารดาก็ยอมและกดพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไป แต่บุตรกลับไปเพิ่มเติมข้อความในใบมอบฉันทะนั้นเป็นว่ามารดามอบอำนาจให้บุตร ขายที่ดินโฉนดนั้นแก่บุตร 3 คน ดังนี้ เป็นการผิดความประสงค์การโอนขายย่อมเป็นโมฆะมารดาย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนขายนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายที่ดินโดยบุตรเพิ่มเติมข้อความในใบมอบฉันทะเกินความประสงค์เดิมของมารดา ย่อมเป็นโมฆะ
บุตรคนหนึ่งเอาแบบพิมพ์มาให้มารดาพิมพ์ลายนิ้วมือโดยแจ้งว่าจะเอาไปจัดการใส่ชื่อบุตรคนนั้นลงในโฉนดที่ดินของมารดาด้วย มารดาก็ยอมและกดพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไป แต่บุตรกลับไปเพิ่มเติมข้อความในใบมอบฉันทะนั้นเป็นว่ามารดามอบอำนาจให้บุตร ขายที่ดินโฉนดนั้นแก่บุตร 3 คน ดังนี้ เป็นการผิดความประสงค์การโอนขายย่อมเป็นโมฆะ มารดาย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนขายนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัว: การกระทำเพื่อปกป้องชีวิตจากอันตรายใกล้จะถึง แม้เป็นการทำร้ายกลับ
ผู้ตายเป็นผู้ก่อนเรื่องรุกรานจำเลย โดยเข้าชกต่อยจำเลยก่อน จนจำเลยถอยหลังไปติดป่ายี่หร่าล้มลง แล้วผู้ตายจะเข้าบีบคอจำเลย ๆ อาจถึงอันตรายแก่ชีวิตได้ เพราะผู้ตายเป็นคนร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยมาก จำเลยจึงชักมีดออกแทงผู้ตาย 1 ที ถูกที่ใต้นมขวาผู้ตายวิ่งไปได้ 5 วา ก็ล้มลง ครู่หนึ่งก็ถึงแก่ความตายดังนี้ ได้ชื่อว่าจำเลยกระทำป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันตนเองเมื่อถูกรุกรานถึงอันตรายถึงชีวิต
ผู้ตายเป็นผู้ก่อเรื่องรุกรานจำเลย โดยเข้าชกต่อยจำเลยก่อน จนจำเลยถอยหลังไปติดป่ายี่หร่าล้มลง แล้วผู้ตายจะเข้าบีบคอจำเลย จำเลยอาจถึงอันตรายแก่ชีวิตได้เพราะผู้ตายเป็นคนร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยมาก จำเลยจึงชักมีดออกแทงผู้ตาย 1 ที ถูกที่ใต้นมขวา ผู้ตายวิ่งไปได้ 5 วา ก็ล้มลง ครู่หนึ่งก็ถึงแก่ความตายดังนี้ ได้ชื่อว่าจำเลยกระทำป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงรายการปริมาณข้าวผิดพลาดตามประมวลรัษฎากร ไม่ถือว่าไม่แสดงรายการ จึงไม่เสียเงินเพิ่ม 10 เท่า
ผู้ทำการโรงสี ซึ่งมีหน้าที่ต้องทำบัญชีแสดงรายการปริมาณข้าวซึ่งมีอยู่ ได้มาและขายไปตามประมวลรัษฎากรมาตรา 201 นั้นถ้าไม่แสดงรายการปริมาณข้าวดังกล่าวแล้ว ย่อมเข้ามาตรา 202 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มอีก 10 เท่า แต่ถ้าได้แสดงรายการปริมาณข้าวแล้วแต่ลงจำนวนข้าวผิดไปเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องไม่แสดงรายการตามมาตรา 202 ฉะนั้นจึงจะเรียกเงินเพิ่ม 10 เท่าจากผู้ทำการโรงสีไม่ได้ถ้าเรียกเพิ่มไว้แล้ว ผู้ทำการโรงสีฟ้องเรียกคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงบัญชีข้าวโรงสี: การลงรายการผิดพลาดไม่ถือว่าไม่แสดงรายการ
ผู้ทำการโรงสีซึ่งมีหน้าที่ต้องทำบัญชีแสดงรายการปริมาณข้าวซึ่งมีอยู่ ได้มาและขายไปตามประมวลรัษฎากรมาตรา 201 นั้น ถ้าไม่แสดงรายการปริมาณข้าวดังกล่าวแล้วย่อมเข้ามาตรา 202 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มอีก 10 เท่า แต่ถ้าได้แสดงรายการปริมาณข้าวแล้วแต่ลงจำนวนข้าวผิดไปเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องไม่แสดงรายการตามมาตรา 202 ฉะนั้นจึงจะเรียกเงินเพิ่ม 10 เท่าจากผู้ทำการโรงสีไม่ได้ ถ้าเรียกเพิ่มไว้แล้วผู้ทำการโรงสีฟ้องเรียกคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการครอบครองโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นสิ้นสุดตามสิทธิเจ้าของโรงเรือน ละเมิดสิทธิเจ้าของที่ดิน
ข้อฎีกาที่ว่าศาลล่างไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟังนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงส่วนฎีกาที่ว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
เจ้าของที่ดินฟ้องเจ้าของโรงเรือน ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้นให้รื้อถอนโรงเรือนไปจนยอมความกันจะรื้อถอนโรงเรือนไปแล้ว แต่ไม่สามารถรื้อได้เพราะมีผู้เช่าโรงเรือนนั้นอยู่ ไม่ยอมออกไป ดังนี้ ถือได้ว่าการที่ผู้เช่าโรงเรือนไม่ยอมออกไปเป็นเหตุให้เจ้าของโรงเรือนรื้อไม่ได้ตามที่ตกลงไว้กับเจ้าของที่ดินย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของเจ้าของที่ดิน ๆ จึงฟ้องขับไล่ผู้เช่าโรงเรือนให้ออกไปจากโรงเรือนได้ ผู้เช่าจะอ้างว่าได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ก็ไม่ได้ เพราะผู้เช่าอยู่ในโรงเรือนโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของโรงเรือนเมื่อเจ้าของโรงเรือนเองก็หมดอำนาจไปแล้ว สิทธิของผู้เช่าอยู่ก็หมดไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของที่ดินเมื่อผู้เช่ายึดครองโรงเรือนหลังเจ้าของโรงเรือนผิดสัญญา
ข้อฎีกาที่ว่าศาลล่างไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟังนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาที่ว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนสนับสนุนนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
เจ้าของที่ดินฟ้องเจ้าของโรงเรือนซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้นให้รื้อถอนโรงเรือนไปจนยอมความกันจะรื้อถอนโรงเรือนไปแล้ว แต่ไม่สามารถรื้อได้เพราะมีผู้เช่าโรงเรือนนั้นอยู่ไม่ยอมออกไป ดังนี้ ถือได้ว่าการที่ผู้เช่าโรงเรือนไม่ยอมออกไปเป็นเหตุให้เจ้าของโรงเรือนรื้อไม่ได้ตามที่ตกลงไว้กับเจ้าของที่ดินย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินจึงฟ้องขับไล่ผู้เช่าโรงเรือนให้ออกไปจากโรงเรือนได้ ผู้เช่าจะอ้างว่าได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ก็ไม่ได้ เพราะผู้เช่าอยู่ในโรงเรือนโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของโรงเรือน เมื่อเจ้าของโรงเรือนเองก็หมดอำนาจไปแล้วสิทธิของผู้เช่าอยู่ก็หมดไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาผัดผ่อนหนี้และการค้ำประกัน: การขยายเวลาชำระหนี้ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้น
ทำสัญญากู้เงินมีความว่า " จำนวนเงินที่ข้าพเจ้ากู้ไปนี้ ข้าพเจ้าสัญญาจะชำระให้เสร็จภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นไป เว้นแต่ผู้ให้กู้จะได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น " และผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า " ถ้าผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินที่ได้กู้ไปตามคำสั่งของผู้ให้กู้ ข้าพเจ้ายอมรับใช้ให้ทั้งสิ้น " ดังนี้กำหนด 6 เดือนที่ว่าไว้นั้นไม่ใช่เด็ดขาด แต่ผู้ให้กู้อาจสั่งเป็นอย่างอื่นได้ และการค้ำประกันก็เป็นไปทางยอมค้ำประกันตามอำนาจของผู้กู้ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ต่อไป และผู้ให้กู้ยอม ก็ตามผู้ค้ำประกันก็ยังไม่หลุดพ้นจากการค้ำประกัน
of 153