พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,529 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาผ่อนผันหนี้และการค้ำประกันตามอำนาจผู้ให้กู้
ทำสัญญากู้เงินมีความว่า "จำนวนเงินที่ข้าพเจ้ากู้ไปนี้ ข้าพเจ้าสัญญาจะชำระให้เสร็จภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นไป เว้นแต่ผู้ให้กู้จะได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น" และผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า"ถ้าผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินที่ได้กู้ไปตามคำสั่งของผู้ให้กู้ ข้าพเจ้ายอมรับใช้ให้ทั้งสิ้น" ดังนี้กำหนด 6 เดือนที่ว่าไว้นั้นไม่ใช่เด็ดขาด แต่ผู้ให้กู้อาจสั่งเป็นอย่างอื่นได้ และการค้ำประกันก็เป็นไปในทางยอมค้ำประกันตามอำนาจของผู้ให้กู้ด้วย ฉะนั้นหากผู้กู้ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ต่อไป และผู้ให้กู้ยอม ก็ตามผู้ค้ำประกันก็ยังไม่หลุดพ้นจากการค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องร้อง
ผู้ที่วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันนั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ฉะนั้นจึงต่างไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอให้ศาลลงโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: คู่กรณีไม่มีสิทธิฟ้องร้องลงโทษซึ่งกันและกัน
ผู้ที่วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันนั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ฉะนั้นจึงต่างไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอให้ศาลลงโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แม้มติคณะกรรมการเปลี่ยนแปลงภายหลัง ก็ไม่ลบล้างความยินยอมที่ได้ทำไปแล้ว
ผู้ให้เช่ายื่นคำร้องขอเข้าอยู่ในห้องเช่าเอง ต่อคณะอนุกรรมการควบคุมค่าเช่าประจำจังหวัด อนุกรรมการได้เชิญให้ผู้ให้เช่าและผู้เช่ามาเพื่อแจ้งมติคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้ทราบ ผู้ให้เช่าและผู้เช่าจึงตกลงยินยอมตามกำหนดที่คณะกรรมการกำหนด คือให้ผู้เช่าออกจากห้องเช่าภายใน 8 เดือนและมีความว่าผู้เช่าตกลงยินยอมจะออกจากห้องเช่าของผู้ให้เช่าตามมติของคณะกรรมการควบคุมเช่าภายในกำหนด 8 เดือน ฯลฯ ดังนี้ข้อตกลงเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นความยินยอมของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ มาตรา 16 (5) แล้ว ฉะนั้นภายหลังอนุกรรมการควบคุมค่าเช่า ประจำจังหวัด จะเสนอเรื่องนี้ขึ้นไปยังคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าสั่งตามอำนาจ คณะกรรมการได้ลงมติไม่ให้ผู้เช่าเข้าอยู่ห้องเช่าของผู้ให้เช่าตามคำร้องก็ตามมติกรรมการก็ไม่ลบล้างความยินยอมดังกล่าวแล้ว ผู้เช่าไม่ออกจากห้องเช่า โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมของผู้เช่าต่อการออกจากห้องเช่าตามมติคณะกรรมการควบคุมค่าเช่า และผลต่อการฟ้องขับไล่
ผู้ให้เช่ายื่นคำร้องขอเข้าอยู่ในห้องเช่าเอง ต่อคณะอนุกรรมการควบคุมค่าเช่าประจำจังหวัด อนุกรรมการได้เชิญให้ผู้ให้เช่าและผู้เช่ามาเพื่อแจ้งมติคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้ทราบ ผู้ให้เช่าและผู้เช่าจึงตกลงยินยอมตามกำหนดที่คณะกรรมการกำหนด คือให้ผู้เช่าออกจากห้องเช่าภายใน 8 เดือนและมีความว่าผู้เช่าตกลงยินยอมจะออกจากห้องเช่าของผู้ให้เช่าตามมติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าภายในกำหนด 8 เดือนฯลฯ ดังนี้ข้อตกลงเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นความยินยอมของผู้เช่าตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯ มาตรา 16(5) แล้ว ฉะนั้นภายหลังอนุกรรมการควบคุมค่าเช่าประจำจังหวัดจะเสนอเรื่องนี้ขึ้นไปยังคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าสั่งตามอำนาจ คณะกรรมการได้ลงมติไม่ให้ผู้เช่าเข้าอยู่ห้องเช่าของผู้ให้เช่าตามคำร้องก็ตาม มติกรรมการก็ไม่ลบล้างความยินยอมดังกล่าวแล้ว ฉะนั้นเมื่อครบกำหนด 8 เดือนแล้วผู้เช่าไม่ออกจากห้องเช่า โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินหลังได้มาโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ผู้ครอบครองขอคำสั่งศาลแสดงกรรมสิทธิ์ได้
พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2486 มาตรา 14และกฎกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกตาม พระราชบัญญัตินี้ข้อ 1 ว่าผู้ขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์แล้วตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ฉะนั้นการที่ผู้ครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว แม้ที่ดินนั้นจะมีชื่อผู้อื่นในโฉนด ผู้ครอบครองก็ย่อมจะยื่นคำร้องต่อศาลอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องผู้มีชื่อในโฉนดนั้นมาเป็นจำเลยอย่างคดีมีข้อพิพาท แต่ถ้าผู้มีชื่อในโฉนดร้องคัดค้านเข้ามา ศาลก็ย่อมสั่งว่าคดีกลายเป็นมีข้อพิพาทให้เสียค่าธรรมเนียมและดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 188 ข้อ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1382 และ พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน
พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2486 มาตรา 14 และกฎกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกตาม พ.ร.บ.นี้ข้อ 1 ว่าผู้ขอจดทะเบียนการได้มา ซึ่งกรรมสิทธิที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิแล้วตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1382 ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิในที่ดินนั้น ฉะนั้นการที่ผู้ครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1382 แล้ว แม้ที่ดินนั้นจะมีชื่อผู้อื่นในโฉนด ผู้ครอบครองก็ย่อมจะยื่นคำร้องต่อศาลอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในที่ดินแปลงนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องผู้มีชื่อในโฉนดนั้นมาเป็นจำเลยอย่างคดีมีข้อพิพาท แต่ถ้าผู้มีชื่อในโฉนดร้องคัดค้านเข้ามาศาลก็ย่อมสั่งว่าคดีกลายเป็นมีข้อพิพาทให้เสียกค่าธรรมเนียมและดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ฯ มาตรา 188 ข้อ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดียังคงอยู่แม้คดีอาญาเดียวกันยกฟ้อง
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกและทำร้ายร่างกายโจทก์ ต่อมาอัยการฟ้องโจทก์กับจำเลยหาว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันในที่สาธารณสถาน เนื่องจากกรณีเดียวกันนี้โจทก์จึงร้องขอต่อศาลให้งดการพิจารณาคดีของโจทก์ไว้รอผลคดีที่อัยการเป็นโจทก์ จนศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่อัยการเป็นโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงขอให้ศาลดำเนินคดีของโจทก์ที่รอไว้ต่อไป ดังนี้คดีไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ที่ฟ้องไว้แล้ว ยังคงมีอยู่ หาได้หมดไปไม่ (อ้างฎีกาที่ 149/2483)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องร้องยังคงมีอยู่ แม้ถูกอัยการฟ้องและศาลยกฟ้องคดีเดียวกัน
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกและทำร้ายร่างกายโจทก์ ต่อมาอัยการฟ้องโจทก์กับจำเลยหาว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันในที่สาธารณะสถาน เนื่องจากกรณีเดียวกันนี้ โจทก์จึงร้องขอต่อศาลให้งดการพิจารณาคดีของโจทก์ไว้รอผลคดีที่อัยการ เป็นโจทก์ จนศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่อัยการเป็นโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงขอให้ศาลดำเนินคดีของโจทก์ที่รอไว้ต่อไป ดังนี้คดีไม่ต้องด้วย ป.ม.วิ.อาญามาตรา 39 (4) สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ที่ฟ้องไว้แล้ว ยังคงมีอยู่ หาได้หมดไปไม่
(อ้างฎีกาที่ 149/2483)
(อ้างฎีกาที่ 149/2483)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินมือเปล่าโดยไม่มีอำนาจ แม้ผู้ซื้อสุจริต ก็ไม่อาจล้มล้างสิทธิเจ้าของที่ดินได้
เอาที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญของผู้อื่นไปขายโดยไม่มีอำนาจ แม้ผู้ซื้อจะรับซื้อไว้โดยสุจริต ผู้ซื้อก็จะอ้างการซื้อขายซึ่งทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มาทำลายสิทธิของเจ้าของที่นั้นหาได้ไม่กรณีไม่ต้องด้วย ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1299