พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,336 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญา: ศาลมีหน้าที่ชี้ขาดความหมายเมื่อมีการโต้แย้ง และพิจารณาพยานหลักฐานประกอบ
เมื่อจำเลยให้การเถียงความหมายในการแปลสัญญาศาลจึงมีหน้าที่จะต้องชี้ขาดว่าสัญญานั้นมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าหากสัญญามีข้อความชัดเจนเห็นความหมายได้แล้วศาลก็ย่อมตีความสัญญาไปตามนั้น หากถ้อยคำในสัญญาเป็นที่สงสัย ศาลก็อาจดำเนินการสืบพะยานถึงพฤตติการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนประเพณี เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตีความนั้นได้ตามกรณี ดังที่ ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 94 ตอนท้ายอนุญาตไว้
มาตรา 11 ป.ม.แพ่ง ฯ ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤตติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา 11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤตติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัยและศาลล่างสั่งงดสืบพะยานมาศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่.
มาตรา 11 ป.ม.แพ่ง ฯ ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤตติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา 11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤตติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัยและศาลล่างสั่งงดสืบพะยานมาศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญา: ศาลมีหน้าที่ชี้ขาดความหมายตามสัญญา และอาจสืบพยานเพื่อประกอบการตีความได้
เมื่อจำเลยให้การเถียงความหมายในการแปลสัญญา ศาลจึงมีหน้าที่จะต้องชี้ขาดว่าสัญญานั้นมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าหากสัญญามีข้อความชัดเจนเห็นความหมายได้แล้ว ศาลก็ย่อมตีความสัญญาไปตามนั้น หากถ้อยคำในสัญญาเป็นที่สงสัยศาลก็อาจดำเนินการสืบพยานถึงพฤติการณ์ต่างๆ ตลอดจนประเพณีเพื่อนำมาใช้ประกอบในการตีความนั้นได้ตามกรณี ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ตอนท้ายอนุญาตไว้
มาตรา 11 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัย และศาลล่างสั่งงดสืบพยานมา ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่
มาตรา 11 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัย และศาลล่างสั่งงดสืบพยานมา ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนสุราข้ามเขตและแหล่งที่มาของสุรา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการยกลังสุราเข้าร้านไม่ใช่การขนข้ามเขต
จำเลยได้รับอนุญาตให้ขายสุราที่ผลิตขึ้นในจังหวัดฉะเชิงเทราจำเลยได้ขนเหล้าที่ผลิตจากที่อื่นไม่ใช่ผลิตจากจังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งอยู่ในลังวางอยู่บนบาทวิถี จะเอาเข้าร้านนั้น ไม่เป็นการขนสุราจากตำบลหนึ่งถึงอีกตำบลหนึ่งหรือจากจังหวัดหนึ่งถึงอีกจังหวัดหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีผิดฐานขนสุรา โดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีสุรา โดยแสดงไม่ได้ว่าซื้อมาจากผู้ที่ควรขายตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2476 กับฐานขนสุราข้ามตำบลตามมาตรา 11, 12 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีชั้นใน จ.ศ. 1248 ศาลชั้นต้นลงโทษฐานขนสุราข้ามเขตต์ตามมาตรา 11, 12 จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานซื้อสุราจากผู้ที่ไม่ควรขายตามมาตรา 4 พ.ร.บ.ภาษีชี้นในแก้ไขเพิ่มเติม 2476 ไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไว้.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีสุรา โดยแสดงไม่ได้ว่าซื้อมาจากผู้ที่ควรขายตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2476 กับฐานขนสุราข้ามตำบลตามมาตรา 11, 12 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีชั้นใน จ.ศ. 1248 ศาลชั้นต้นลงโทษฐานขนสุราข้ามเขตต์ตามมาตรา 11, 12 จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานซื้อสุราจากผู้ที่ไม่ควรขายตามมาตรา 4 พ.ร.บ.ภาษีชี้นในแก้ไขเพิ่มเติม 2476 ไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนสุราข้ามเขตจังหวัดและความผิดตาม พ.ร.บ.ภาษีชั้นใน การกระทำที่ไม่เข้าข่ายการขนส่ง
จำเลยได้รับอนุญาตให้ขายสุราที่ผลิตขึ้นในจังหวัดฉะเชิงเทรา จำเลยได้ขนเหล้าที่ผลิตจากที่อื่นไม่ใช่ผลิตจากจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในลังวางอยู่บนบาทวิถีจะเอาเข้าร้านนั้น ไม่เป็นการขนสุราจากตำบลหนึ่งถึงอีกตำบลหนึ่งหรือจากจังหวัดหนึ่งถึงอีกจังหวัดหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีผิดฐานขนสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีสุราโดยแสดงไม่ได้ว่าซื้อมาจากผู้ที่ควรขายตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2476 กับฐานขนสุราข้ามตำบลตามมาตรา 11,12 แห่งพ.ร.บ.ภาษีชั้นใน จ.ศ.1248ศาลชั้นต้นลงโทษฐานขนสุราข้ามเขตตามมาตรา 11,12 จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานซื้อสุราจากผู้ที่ไม่ควรขายตามมาตรา 4 พ.ร.บ.ภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติม 2476 ไม่ได้เพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีสุราโดยแสดงไม่ได้ว่าซื้อมาจากผู้ที่ควรขายตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2476 กับฐานขนสุราข้ามตำบลตามมาตรา 11,12 แห่งพ.ร.บ.ภาษีชั้นใน จ.ศ.1248ศาลชั้นต้นลงโทษฐานขนสุราข้ามเขตตามมาตรา 11,12 จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานซื้อสุราจากผู้ที่ไม่ควรขายตามมาตรา 4 พ.ร.บ.ภาษีชั้นในแก้ไขเพิ่มเติม 2476 ไม่ได้เพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการตัดสินคดี, ฟ้องซ้ำ, และอายุความ: การพิจารณาคดีสัญญาซื้อขาย
เมื่อศาลเห็นว่า คดีได้ความชัดพอจะตัดสินได้แล้ว ศาลก็มีอำนาจตัดสินได้ โดยไม่ต้องมีการชี้สองสถาน ไม่เป็นการขัดต่อวิธีพิจารณา และไม่มีกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องรอการตัดสินไว้เพื่อให้โอกาสคู่ความที่จะแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง และคำให้การก่อน
เดิมโจทก์ฟ้องเรียกเงินราคาแป้งที่โจทก์ขายให้จำเลยศาลฎีกาพิพากษาในคดีนั้นว่า โจทก์ จำเลยได้ทำความตกลงกันใหม่ ยกเลิกสัญญาเดิมแล้ว ข้อที่หากันว่าผิดสัญญาจึงตกไป โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้เรียกเงินตามข้อตกลงใหม่การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาใหม่นี้ ย่อมเป็นคนละประเด็นกับเรื่องก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 (อ้างฎีกาที่ 319/2492)
คดีที่จะขาดอายุความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165มีหลายข้อหลายกรณี คำให้การของจำเลยกล่าวแต่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 165 มิได้กล่าวว่าขาดอายุความในกรณีใดหรือข้อใด แม้อนุมาตราของมาตรา 165 ก็มิกล่าวถึง คดีจึงไม่มีประเด็นจะชี้ไปถึงว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ
เดิมโจทก์ฟ้องเรียกเงินราคาแป้งที่โจทก์ขายให้จำเลยศาลฎีกาพิพากษาในคดีนั้นว่า โจทก์ จำเลยได้ทำความตกลงกันใหม่ ยกเลิกสัญญาเดิมแล้ว ข้อที่หากันว่าผิดสัญญาจึงตกไป โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้เรียกเงินตามข้อตกลงใหม่การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญาใหม่นี้ ย่อมเป็นคนละประเด็นกับเรื่องก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 (อ้างฎีกาที่ 319/2492)
คดีที่จะขาดอายุความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165มีหลายข้อหลายกรณี คำให้การของจำเลยกล่าวแต่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 165 มิได้กล่าวว่าขาดอายุความในกรณีใดหรือข้อใด แม้อนุมาตราของมาตรา 165 ก็มิกล่าวถึง คดีจึงไม่มีประเด็นจะชี้ไปถึงว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และอายุความมรดกในที่ดินมรดกเมื่อไม่มีทายาทอื่นเกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยเจ้าของที่ดินยกให้ ต่อมาเจ้าของที่ดินตาย โจทก์ครอบครองตลอดมาเกินอายุความ 1 ปีแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าเจ้าของที่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยไม่ใช่ให้โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทของเจ้าของที่ดิน ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกัน และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อเกินอายุความมรดกแล้ว ไม่มีทายาทคนอื่นของเจ้าของที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง ศาลย่อมพิพากษาแบ่งส่วนที่รายพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกที่ดินเมื่อฟ้องคดีเกินอายุความมฤดก และไม่มีทายาทอื่นเกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ โดยเจ้าของที่ดินยกให้ต่อมาเจ้าของที่ดินตาย โจทก์ครอบครองตลอดมาเกินอายุความ 1 ปีแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าเจ้าของที่ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยไม่ใช่ให้โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทของเจ้าของที่ดิน ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกัน และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อเกินอายุความมฤดกแล้ว ไม่มีทายาทคนอื่นของเจ้าของที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง ศาลย่อมพิพากษาแบ่งส่วนที่รายพิพาทให้แก่โจทก์,จำเลยได้ ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 142(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416-1417/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งกระบือจำนำคืน ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ หากไม่มีเจตนาทุจริต
จำเลยได้จำนำกระบือไว้กับผู้เสียหาย จำเลยได้นำเงินไปขอไถ่กระบือคืนผู้เสียหายไม่ยอมให้ไถ่ จำเลยได้เอาเงินค่าไถ่กระบือวางไว้ให้ แล้วจำเลยต้อนกระบือของจำเลยที่จำนำไว้นั้นไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีผิดฐานลักทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องข้อหาฐานทำร้ายร่างกาย โจทก์ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงในข้อหาฐานทำร้ายร่างกาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องข้อหาฐานทำร้ายร่างกาย โจทก์ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงในข้อหาฐานทำร้ายร่างกาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความวุ่นวายในที่เลือกตั้งหลังปิดหีบ: การกระทำผิดหลัง 17.00 น. ระหว่างการตรวจนับคะแนน
จำเลยเสพสุราเมาขึ้นไปก่อให้เกิดการวุ่นวายบนที่เลือกตั้งในเวลาหลัง 17.00 น. ซึ่งปิดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้วแต่เป็นเวลาในขณะที่กรรมการตรวจนับคะแนนเสียงอยู่ จำเลยก็ย่อมมีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความวุ่นวายในที่เลือกตั้งหลังปิดหีบ: กรรมการตรวจนับคะแนนยังมีความผิด
จำเลยเสพสุราเมาขึ้นไปก่อให้เกิดการวุ่นวายบนที่เลือกตั้งในเวลาหลัง 17.00 น. ซึ่งปิดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้วแต่เป็นเวลาในขณะที่กรรมการตรวจนับคะแนนเสียงอยู่ จำเลยก็ย่อมมีความผิด.