พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,336 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่, การบอกเลิกสัญญาเช่า, ค่าเสียหายจากการเช่าพื้นที่ค้า
จำเลยรับว่าเช่าที่จากโจทก์ถือได้ว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่เช่าโดยไม่จำเป็นต้องเรียกคนอื่นที่ร่วมเช่าที่กับโจทก์มาเข้าชื่อฟ้องด้วย
จำเลยปลูกห้องแถว 5 ห้อง 2 ชั้น กั้นอยู่เฉพาะชั้นบน ติดป้ายว่าเป็นบริษัทรับก่อสร้าง อยู่ในที่ทำเลการค้าถือว่าห้องนั้นไม่ใช่เคหะ
ผู้แทนโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว แม้จำเลยจะอยู่ต่อมาและโจทก์ก็ยังเก็บค่าเช่า ถือว่าโจทก์ผ่อนผันให้จำเลย มิใช่เจตนาต่อสัญญาเช่ากับจำเลย
โจทก์เบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้ค่าเช่าจากจำเลยเดือนละ 56 บาท จำเลยไม่สืบคัดค้าน ศาลย่อมให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามอัตรานี้ได้
จำเลยปลูกห้องแถว 5 ห้อง 2 ชั้น กั้นอยู่เฉพาะชั้นบน ติดป้ายว่าเป็นบริษัทรับก่อสร้าง อยู่ในที่ทำเลการค้าถือว่าห้องนั้นไม่ใช่เคหะ
ผู้แทนโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว แม้จำเลยจะอยู่ต่อมาและโจทก์ก็ยังเก็บค่าเช่า ถือว่าโจทก์ผ่อนผันให้จำเลย มิใช่เจตนาต่อสัญญาเช่ากับจำเลย
โจทก์เบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้ค่าเช่าจากจำเลยเดือนละ 56 บาท จำเลยไม่สืบคัดค้าน ศาลย่อมให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามอัตรานี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดจัดการห้างหุ้นส่วน ต้องรับผิดร่วมกับห้าง
ผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดเข้าจัดการห้าง ต้องรับผิดร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเช่นเดียวกับผู้เป็นหุ้นส่วนสามัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1644/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าทำได้ทั้งทางวาจาและหนังสือ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ
การบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่า ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยได้รับคำบอกกล่าวด้วยวาจาแล้ว ก็ย่อมใช้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1644/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ การบอกกล่าวด้วยวาจาใช้ได้
การบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่า ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยได้รับคำบอกกล่าวด้วยวาจาแล้ว ก็ย่อมใช้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากฆ่าเพื่อชิงทรัพย์เป็นลักทรัพย์หลังเกิดเหตุ และการคืนเงินของกลาง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อเอาทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.250 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยจึงเกิดโลภเจตนาเอาทรัพย์ของผู้ตายในภายหลังเช่นนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวในฟ้องลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.288 ได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2501)
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องลักทรัพย์และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 15,400 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยและได้เงิน 900 บาทเป็นของกลาง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยเอาเงินสดจากเจ้าทรัพย์ไป 500 บาท จึงควรหักเงินสดของกลางคืนให้เจ้าทรัพย์ 500 บาทเท่าที่ได้ความว่าจำเลยเอาไป เหลือนอกนั้นคืนให้จำเลย ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2501)
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องลักทรัพย์และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 15,400 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยและได้เงิน 900 บาทเป็นของกลาง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยเอาเงินสดจากเจ้าทรัพย์ไป 500 บาท จึงควรหักเงินสดของกลางคืนให้เจ้าทรัพย์ 500 บาทเท่าที่ได้ความว่าจำเลยเอาไป เหลือนอกนั้นคืนให้จำเลย ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์หลังการฆ่า: เจตนาเอาทรัพย์ของผู้ตายถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อเอาทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 250 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยจึงเกิดโลภเจตนาเอาทรัพย์ของผู้ตายในภายหลัง เช่นนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288 ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2501)
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องลักทรัพย์และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 15,400 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยและได้เงิน 900 บาทเป็นของกลาง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยเอาเงินสดจากเจ้าทรัพย์ไป 500 บาท จึงควรหักเงินสดของกลางคืนให้เจ้าทรัพย์ 500 บาทเท่าที่ได้ความว่าจำเลยเอาไป เหลือนอกนั้นคืนให้จำเลย ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป
โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องลักทรัพย์และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 15,400 บาท เจ้าพนักงานจับจำเลยและได้เงิน 900 บาทเป็นของกลาง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยเอาเงินสดจากเจ้าทรัพย์ไป 500 บาท จึงควรหักเงินสดของกลางคืนให้เจ้าทรัพย์ 500 บาทเท่าที่ได้ความว่าจำเลยเอาไป เหลือนอกนั้นคืนให้จำเลย ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1625/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีค่าปรับ: เปลี่ยนจากจำคุกแทนค่าปรับตามกฎหมายลักษณะอาญาเป็นกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา
ในกรณีที่การจำคุกแทนค่าปรับตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.18 ในหมายจำคุกยังไม่ถึงเวลาคุมขัง เพราะโทษจำคุกยังมีอยู่จนกระทั่งถึงวันใช้ประมวลกฎหมายอาญาเช่นนี้ ต้องนำประมวลกฎหมายอาญา ม.30 มาใช้บังคับตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ม. 6 คือต้องออกหมายกักขังแทนค่าปรับใหม่เป็นอัตราวันละ 5 บาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1625/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีค่าปรับ: เปลี่ยนวิธีจากจำคุกแทนค่าปรับตามกฎหมายลักษณะอาญา เป็นกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา
ในกรณีที่การจำคุกแทนค่าปรับตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 18 ในหมายจำคุกยังไม่ถึงเวลาคุมขัง เพราะโทษจำคุกยังมีอยู่จนกระทั่งถึงวันใช้ประมวลกฎหมายอาญา เช่นนี้ ต้องนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 มาใช้บังคับตาม พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 6 คือต้องออกหมายกักขังแทนค่าปรับใหม่เป็นอัตราวันละ 5 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1616/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการปลูกสร้างอาคารเป็นคนละส่วนกับกรรมสิทธิในที่ดิน การก่อสร้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมอาคาร และข้อจำกัดตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดิน
กรรมสิทธิในที่ดินเป็นสิทธิอย่างหนึ่งต่างหากจากการขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร เพราะการปลูกสร้างอาคารนั้นมีกฎหมายบัญญัติไว้อีกต่างหาก ผู้ใดจะทำการปลูกสร้างอาคารต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง
ที่พิพาทอยู่ในเขตที่จะต้องตัดถนนตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ฯลฯ 2473 โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในที่พิพาท จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มาตรา 2 บัญญัติว่า"ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดปลูกสร้างโรงเรือนหรือทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงในที่ดินภายในเขตนั้น นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าพนักงาน"
ที่พิพาทอยู่ในเขตที่จะต้องตัดถนนตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ฯลฯ 2473 โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในที่พิพาท จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มาตรา 2 บัญญัติว่า"ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดปลูกสร้างโรงเรือนหรือทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงในที่ดินภายในเขตนั้น นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าพนักงาน"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1616/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการก่อสร้างอาคารแยกจากกรรมสิทธิที่ดิน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมการก่อสร้าง แม้กรรมสิทธิยังไม่ถูกเวนคืน
กรรมสิทธิในที่ดินเป็นสิทธิอย่างหนึ่งต่างหากจากการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารเพราะการปลูกสร้างอาคารนั้นมีกฎหมายบัญญัติไว้อีกต่างหาก ผู้ใดจะทำการปลูกสร้างอาคารต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ควบคุมการก่อสร้าง
ที่พิพาทอยู่ในเขตที่จะต้องตัดถนนตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ 2473 โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในที่พิพาท จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มาตรา 2 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดปลูกสร้างโรงเรือนหรือทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงในที่ดินภายในเขตนั้น นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าพนักงาน.
ที่พิพาทอยู่ในเขตที่จะต้องตัดถนนตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ 2473 โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในที่พิพาท จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตดังนี้เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มาตรา 2 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดปลูกสร้างโรงเรือนหรือทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงในที่ดินภายในเขตนั้น นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าพนักงาน.