คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 72

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 499 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3809/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจากความขัดแย้งส่วนตัวและการด่าทอที่ไม่ถึงขั้นข่มเหงร้ายแรง
การที่โจทก์ร่วมค่าจำเลยว่า "คนอย่างมึงแก่แล้วตัณหากลับ แย่งผัวกูหรือ หรือเงี่ยนไม่รู้จักหาย คนอย่างมึงร้อยควย อย่างนี้ต้องเอาช้างเย็ด" ในขณะที่โจทก์ร่วมและจำเลยอยู่ด้วยกันสองต่อสอง และการด่ากันดังกล่าวเกิดจากการที่โจทก์ร่วมเข้าใจว่าจำเลยเป็นชู้กับสามีโจทก์ร่วม ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นเรื่องไม่จริง เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากพฤติการณ์ข่มเหง การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ศาลใช้ดุลพินิจลดโทษ
ผู้ตายชอบข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองจากจำเลย และกลั่นแกล้งจำเลยต่าง ๆ นานา วันเกิดเหตุผู้ตายดึง เอากุญแจรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปในขณะที่จำเลยกำลังจะออกไปส่งเนื้อสุกรให้แก่ลูกค้า จำเลยตาม ไปทวงคืน ผู้ตายทำท่าจะยื่นกุญแจรถให้แต่ แล้วกลับต่อย จำเลยก่อนผู้ตายมีลักษณะคล้ายเป็นคนอันธพาลและเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน จำเลยจึงใช้ มีดหั่นเนื้อสุกรฟันและแทงผู้ตาย ดังนี้เป็นการกระทำโดย บันดาลโทสะเพราะถูก ข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วย เหตุไม่ เป็นธรรม ตามป.อ. มาตรา 72.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการประเมินอันตรายสาหัส: ศาลมีอำนาจกำหนดโทษและรอการลงโทษได้
วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลยเพื่อปรับความเข้าใจกับจำเลยเรื่องที่ผู้เสียหายถูกหาว่าเป็นชู้กับภรรยาจำเลย ประมาณ10 นาทีก็กลับไป วันเดียวกันผู้เสียหายเมาสุรากลับมาที่บ้านจำเลยเคาะประตูเรียกภรรยาจำเลยอ้างว่าลืมหมูไว้ จำเลยเปิดประตูออกมาบอกว่าหมูไม่มีและไม่ยอมให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้านผู้เสียหายได้ชกเตะต่อยจำเลยแล้วเกิดต่อสู้กัน ผู้เสียหายใช้ขวดสุราตีและถีบจำเลยล้มลง จำเลยวิ่งเข้าไปเอามีดในครัวมาแทงผู้เสียหายเห็นได้ว่าขณะที่จำเลยใช้มีดแทง ผู้เสียหายมิได้ก่อภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง เท่ากับอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษและคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษไปในตัว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามที่เห็นสมควรได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบด้วยมาตรา 215 กรณีจะเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)หรือไม่ต้องพิจารณาจากผลของการทำร้ายว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่มิใช่ต้องพิจารณาเฉพาะจากบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นชัด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเจ็บที่ท้องจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายสาหัสแล้ว คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลฎีกาก็พิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวต้องสมเหตุสมผล ผู้ถูกทำร้ายมิได้ก่อภัย การใช้มีดแทงจึงไม่เป็นการป้องกันตนเอง
วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลยเพื่อปรับความเข้าใจกับจำเลยเรื่องที่ผู้เสียหายถูกหาว่าเป็นชู้กับภรรยาจำเลย ประมาณ10 นาทีก็กลับไป วันเดียวกันผู้เสียหายเมาสุรากลับมาที่บ้านจำเลยเคาะประตูเรียกภรรยาจำเลยอ้างว่าลืมหมูไว้ จำเลยเปิดประตูออกมาบอกว่าหมูไม่มีและไม่ยอมให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้านผู้เสียหายได้ชกเตะต่อยจำเลยแล้วเกิดต่อสู้กัน ผู้เสียหายใช้ขวดสุราตีและถีบจำเลยล้มลง จำเลยวิ่งเข้าไปเอามีดในครัวมาแทงผู้เสียหายเห็นได้ว่าขณะที่จำเลยใช้มีดแทง ผู้เสียหายมิได้ก่อภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง เท่ากับอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษและคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษไปในตัว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามที่เห็นสมควรได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบด้วยมาตรา 215
กรณีจะเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)หรือไม่ต้องพิจารณาจากผลของการทำร้ายว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่มิใช่ต้องพิจารณาเฉพาะจากบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นชัด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเจ็บที่ท้องจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายสาหัสแล้ว
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลฎีกาก็พิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ แม้ถูกยิงก่อน แต่การตอบโต้ต้องอยู่ในขอบเขตที่สมเหตุสมผล
ผู้ตายมีอาการเมาสุรา เข้าไปก่อ เหตุ ด่า ว่าจำเลยถึง ในบ้านจำเลยด้วย ถ้อยคำหยาบคายและใช้ อาวุธปืนลูกซองยาวยิงจำเลยก่อน1 นัด แล้วต่าง ยื้อแย่งอาวุธปืนสั้น จำเลยใช้ อาวุธปืนที่แย่งได้ ยิงผู้ตายซึ่ง ไม่มีอาวุธใด อยู่ในมือ ขณะนั้นแม้ไม่มีภยันตรายซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงต่อ จำเลยอันจะทำให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันตน โดย ชอบ ด้วยกฎหมายได้ แต่ จำเลยยิงผู้ตายเพราะเหตุผู้ตายกระทำการอันถือ ได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่ เป็นธรรมและจำเลยยิงผู้ตายในเวลาต่อเนื่องกัน ดังนี้ เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยมีเหตุข่มเหงอย่างร้ายแรงตาม ป.อ.มาตรา 72 และการพิพากษาโทษสำหรับผู้กระทำผิดอายุ 16 ปี
การที่ผู้ตายเมาสุราและได้ บังคับขู่เข็ญโดยใช้ มือผลักอก จำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่ม สุราด้วย และท้าทายให้ยิงกันพร้อมกับทำท่าล้วงอาวุธปืนเมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายยังวิ่งไล่ตามไปอีก จำเลยจึงใช้ อาวุธปืนยิงทันที ถือ ได้ ว่าจำเลยกระทำไปเพราะถูก ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่ เป็นธรรม ตามป.อ. มาตรา 72 พนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯมาตรา 772 และข้อหาฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 แม้ศาลจะอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีด้วย ก็หมายถึงอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ เฉพาะ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้นเพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและเหตุป้องกันสิทธิ การพิจารณาเจตนาและความร้ายแรงของการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือวันภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิต ถึงแม้มีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญแต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิ vs. การกระทำด้วยเหตุบันดาลโทสะ: การแทงหลังถูกทำร้ายและการพิจารณาเหตุข่มเหง
ผู้เสียหายเข้าไปชกจำเลย 2 ที แล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ภยันตรายซึ่ง เกิด จากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายจึงผ่าน พ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้อง กระทำเพื่อป้องกันอีกการที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังถูก ชนจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนแต่ การที่ผู้เสียหายเข้าไปชกต่อยจำเลยขณะที่เล่นไพ่อยู่ โดย ที่จำเลยมิได้สมัครใจจะวิวาทกับผู้เสียหายมาก่อนเช่นนี้ ถือ ได้ ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูก ข่มเหงอย่าง ร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่ เป็นธรรมการที่จำเลยแทงผู้เสียหายทันทีหลังจากถูก ชกต่อย จึงเป็นการกระทำความผิดต่อ ผู้ข่มเหงในขณะนั้น ซึ่ง เป็นการกระทำด้วย เหตุบันดาลโทสะ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ: การป้องกันสิทธิ vs. เหตุข่มเหง
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและการป้องกันสิทธิที่เกินเลย ศาลพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น.
of 50