พบผลลัพธ์ทั้งหมด 563 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายข้าวออกนอกเขตจังหวัด: การพิสูจน์เจตนาและขอบเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยย้ายข้าวออกนอกเขตในทางทะเลโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามจะขนออกมานอกเขตคดีก็ไม่มีทางลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ.2489 มาตรา 10,13 เพราะสองมาตรานี้เอาผิดแก่ผู้ขนย้ายข้าวออกนอกเขตซึ่งคณะกรรมการกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายข้าวออกนอกเขตที่คณะกรรมการกำหนด ต้องพิสูจน์เจตนาขนย้ายออกนอกเขตจังหวัด
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยย้ายข้าวอกนอกเขตต์ในทางทะเลโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามจะขนออกนอกเขตต์ คดีก็ไม่มีทางลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. สำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา 10,13 เพราะสองมาตรานี้เอาผิดแก่ผู้ขนย้ายข้าวออกนอกเขตต์ซึ่งคณะกรรมการกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์เมื่อทรัพย์สินยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าของ
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกเก็บของตก. ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยลักทรัพย์ต้องยกฟ้อง โจทก์
เจ้าทรัพย์กับจำเลยช่วยกันเข็นเรือ อยู่ห่างกัน 1 ศอกไม่มีใครคั่นขณะเข็นเรืออยู่นั้น เงินของเจ้าทรัพย์ตกจากกระเป๋าเสื้อชั้นในลงมาจำเลยก็หยิบเอาไปเสียในทันใดนั้นเอง ดังนี้ ขณะที่จำเลยหยิบธนบัตรขึ้นมานั้นธนบัตรยังหาได้ขาดจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์โดยเด็ดขาดไม่ เมื่อเจ้าทรัพย์ยังครอบครองอยู่การที่จำเลยหยิบเอาไป ก็มีความผิดฐานลักทรัพย์
เจ้าทรัพย์กับจำเลยช่วยกันเข็นเรือ อยู่ห่างกัน 1 ศอกไม่มีใครคั่นขณะเข็นเรืออยู่นั้น เงินของเจ้าทรัพย์ตกจากกระเป๋าเสื้อชั้นในลงมาจำเลยก็หยิบเอาไปเสียในทันใดนั้นเอง ดังนี้ ขณะที่จำเลยหยิบธนบัตรขึ้นมานั้นธนบัตรยังหาได้ขาดจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์โดยเด็ดขาดไม่ เมื่อเจ้าทรัพย์ยังครอบครองอยู่การที่จำเลยหยิบเอาไป ก็มีความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งของที่ยังอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกเก็บของตก ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยลักทรัพย์ ต้องยกฟ้องโจทก์
เจ้าทรัพย์กับจำเลยช่วยกันเข็นเรือ อยู่ห่างกัน 1 ศอก ไม่มีใครคั่น ขณะเข็นเรืออยู่นั้น เงินของเจ้าทรัพย์ตกจากกระเป๋าเสื้อชั้นในลงมา จำเลยก็หยิบเอาไปเสียในทันใดนั้นเอง ดังนี้ ขณะที่จำเลยหยิบธนบัตรขึ้นมานั้น ธนบัตรยังหาได้ขาดจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์โดยเด็ดขาดไม่ เมื่อเจ้าทรัพย์ยังครอบครองอยู่ การที่จำเลยหยิบเอาไป ก็มีความผิดฐานลักทรัพย์.
เจ้าทรัพย์กับจำเลยช่วยกันเข็นเรือ อยู่ห่างกัน 1 ศอก ไม่มีใครคั่น ขณะเข็นเรืออยู่นั้น เงินของเจ้าทรัพย์ตกจากกระเป๋าเสื้อชั้นในลงมา จำเลยก็หยิบเอาไปเสียในทันใดนั้นเอง ดังนี้ ขณะที่จำเลยหยิบธนบัตรขึ้นมานั้น ธนบัตรยังหาได้ขาดจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์โดยเด็ดขาดไม่ เมื่อเจ้าทรัพย์ยังครอบครองอยู่ การที่จำเลยหยิบเอาไป ก็มีความผิดฐานลักทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า 'อับเฉา' ในกฎหมายศุลกากร: ความหมายตามพจนานุกรมและข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ
ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3)2474ซึ่งแก้ไขมาตรา 49 พระราชบัญญัติศุลกากร2469 หมายถึง เรือที่ที่บรรทุกสินค้าหรือมิฉะนั้นก็เป็นเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าแต่เป็นเรือที่ต้องมีอับเฉา
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่นๆที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพยานเพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่
(อ้างฎีกา 6/2484)
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่นๆที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพยานเพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่
(อ้างฎีกา 6/2484)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า 'อับเฉา' ใน พ.ร.บ.ศุลกากร: จำเป็นต้องมีของถ่วงเรือเพื่อเข้าข่ายเป็นเรือที่ต้องมีอับเฉา
ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉะบับที่ 3) 2474 ซึ่งแก้ไขมาตรา 49 พ.ร.บ.ศุลกากร 2469 หมายถึง เรือที่บรรทุกสินค้า หรือมิฉะนั้นก็เป็นเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าแต่เป็นเรือที่ต้องมีอับเฉา
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่น ๆ ที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพะยาน เพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่.
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่น ๆ ที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพะยาน เพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: ศาลฎีกายืนพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่โต้แย้งข้อเท็จจริงเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนโดยเจตนา ศาลชั้นต้นชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเป็นการป้องกันตัว แต่กระทำเกินกว่าเหตุ ควรรับโทษ โจทก์ไม่อุทธรณ์ดังนี้ ชั้นฎีกาโจทก์จะกลับขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหาได้ไม่
ผู้ตายมีพรรคพวก 5 คนพากันไปหน้าบ้านจำเลย ผู้ตายผลักบานประตูบ้านจำเลยเปิดออกและผู้ตายกับจำเลยพูดโต้เถียงกันจำเลยบอกให้ผู้ตายกลับไปเสียหายเมาจึงพูดกันใหม่ ผู้ตายไม่ยอมกลับ จำเลยปิดประตู ผู้ตายผลักบานประตูกระแทกจำเลยเซแล้วผู้ตายก้าวเท้าข้างหนึ่งล้ำเข้าไปในประตูและใช้มีดปลายแหลมจ้วงแทงจำเลย จำเลยหลบเสีย มีดจึงไม่ถูก ผู้ตายแทงซ้ำ จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตาย 2 นัดซ้อน ผู้ตายเซถอยแล้วล้มลงขาดใจตาย ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ทำการป้องกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุ ไม่ควรลงโทษจำเลย
ผู้ตายมีพรรคพวก 5 คนพากันไปหน้าบ้านจำเลย ผู้ตายผลักบานประตูบ้านจำเลยเปิดออกและผู้ตายกับจำเลยพูดโต้เถียงกันจำเลยบอกให้ผู้ตายกลับไปเสียหายเมาจึงพูดกันใหม่ ผู้ตายไม่ยอมกลับ จำเลยปิดประตู ผู้ตายผลักบานประตูกระแทกจำเลยเซแล้วผู้ตายก้าวเท้าข้างหนึ่งล้ำเข้าไปในประตูและใช้มีดปลายแหลมจ้วงแทงจำเลย จำเลยหลบเสีย มีดจึงไม่ถูก ผู้ตายแทงซ้ำ จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตาย 2 นัดซ้อน ผู้ตายเซถอยแล้วล้มลงขาดใจตาย ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ทำการป้องกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุ ไม่ควรลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169-170/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ช่วยเหลือการกระทำผิดฐานจับคนเรียกค่าไถ่ แม้ไม่ได้สมคบ แต่เข้าข่ายตัวการดุจกัน
ในคดีหาว่า จำเลยสมคบกับผู้ร้าย จับคนไปเพื่อสินไถ่แม้โจทก์จะสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้สมคบกับพวกผู้ร้ายที่จับคนไปเพื่อสินไถ่ก็ดีแต่การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือในการกระทำผิดเช่นนั้นภายหลังการกระทำผิด จับคนเพื่อสินไถ่ ต้องตามความในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 272ทวิ ซึ่งได้เพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.2477(ฉบับที่ 4)มาตรา 5 จำเลยต้องมีความผิดเป็นตัวการดุจกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า พิจารณาเจตนาใช้สิทธิในสัญญาเช่าเพื่อพิจารณาว่าเป็น 'เคหะ' หรือไม่
โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยในระหว่างใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2489 และโจทก์มาฟ้องคดีก่อนใช้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 คดีจึงตกอยู่ในบังคับมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 ต้องใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้บังคับ
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น'เคหะ'ตามความหมายใน พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่อยู่ในฐานะอย่างใด (อ้างฎีกาที่ 1099,1147/2491)
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น'เคหะ'ตามความหมายใน พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่อยู่ในฐานะอย่างใด (อ้างฎีกาที่ 1099,1147/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณา 'เคหะ' ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ ต้องดูเจตนาคู่สัญญาและลักษณะการใช้ประโยชน์
โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยในระหว่างใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ 2489 และโจทก์มาฟ้องคดีก่อนใช้ พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 คดีจึงตกอยู่ในบังคับมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 ต้องใช้ พ.ร.บ.ฉะบับนี้บังคับ
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น "เคหะ" ตามความหมายใน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่-อยู่ในฐานะอย่างใด
(อ้างฎีกา 1099/2491, 1147/2491)
กับมีคดีและข้อวินิจฉัยอย่างเดียวกัน คือ
คดีดำที่ 665/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 666/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 668/91 ฎีกาที่ /92
การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น "เคหะ" ตามความหมายใน พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2490 หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีเวลาทำสัญญากัน ประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่ การที่ผู้เช่าอยู่ในที่เช่าจะต้องพิจารณาด้วยว่า การอยู่-อยู่ในฐานะอย่างใด
(อ้างฎีกา 1099/2491, 1147/2491)
กับมีคดีและข้อวินิจฉัยอย่างเดียวกัน คือ
คดีดำที่ 665/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 666/91 ฎีกาที่ /92
คดีดำที่ 668/91 ฎีกาที่ /92