คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ธรรมบัณฑิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,185 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสืบพยานเพื่อทำลายล้างเอกสารสัญญาที่จำเลยอ้างว่าถูกฉ้อโกง
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่า ไม่ได้กู้ และกล่าวต่อไปว่า ถ้ามีสัญญากู้จริง โจทก์ทำขึ้นเพื่อฉ้อโกงจำเลย โดย
โจทก์เอาสัญญาให้จำเลยเซ็น และไปกรอกข้อความเอาโดยลำพัง ดังนี้จำเลยย่อมมีอำนาจสืบพยานตามที่ต่อสู้ได้
เพราะเป็นการสืบเพื่อทำลายล้างเอกสารทั้งฉะบับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษกักกันผู้ต้องโทษจำคุกซ้ำ แม้พ้นโทษมานาน และการพิจารณาโทษกักกันตาม พ.ร.บ.กักกันฯ
การที่จำเลยเคยต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้ว ไม่น้อยกว่า 2 ครั้งนั้น ตาม พ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479 หาได้
บัญญัติไว้ว่ากระทำแต่เมื่อใด และพ้นโทษมาแล้วนานเท่าใด แต่ได้ถือเอาความผิดที่จำเลยกระทำครั้งที่ฟ้องเป็น
หลักสำคัญ ส่วนความผิดในครั้งก่อน ๆ เพียงแต่เป็นเหตุเพื่อเพิ่มโทษกักกันอีกโสดหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นแม้จำเลยจะ
พ้นโทษครั้งสุดท้ายมาถึง 20 ปีแล้ว ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลอาจจะเพิ่มโทษกักกันได้.
โทษกักกัน แม้จะมีถึง 10 ปี ก็ไม่ใช่เป็นคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป, จึงไม่เข้าอยู่ตาม ป.ม.วิ.อาญา
มาตาา 176.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกทรัพย์สินให้บุตรแล้วถูกเนรคุณ สิทธิเรียกร้องทรัพย์สินคืนตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 531
บุตรว่า มารดาเป็นคนไม่มีศีลธรรมยกที่ดินให้แล้วกลับไม่ให้ ซ้ำยังขับไล่ไม่ให้มารดาอยู่ร่วมบ้านไม่ปรากฎว่า
มารดามีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออยู่ มารดาต้องไปอาศัยบุตรคนอื่นซึ่งยากจนกว่าบุตรคนแรก ส่วนบุตรคนแรกนั้น
ยังสามารถอุปการะให้สิ่งของแก่มารดาได้ แต่ก็ปฏิเสธเสีย ไม่ยอมให้อุปการะแก่มารดา ดังนี้ คดีต้องด้วย ป.ม.แพ่งฯ
มาตรา 531 มารดามีสิทธเรียกทรัพย์ที่ให้คืนได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนใช้ชื่อบริษัทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนกู้เงิน ความรับผิดชอบยังคงเป็นของหุ้นส่วน
สองคนเข้าหุ้นส่วนกันตั้งร้านค้า มีชื่อเป็นบริษัทบริษัทหนึ่งได้ทำสัญญากู้เงินเขา โดยหุ้นส่วนคนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้กู้ มีผู้อื่นเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่เขา ผู้ค้ำประกันต้องออกเงินใช้แทนไป ดังนี้ แม้ในสัญญากู้และ
สัญญาค้ำประกันจะใช้คำว่า บริษัทเป็นผู้กู้ก็ดี แต่บริษัทดังว่า ยังมิได้จะทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงไม่ทำให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งสองพ้นจากความรับผิดไปได้เพราะชื่อบริษัทที่กล่าวนี้ ผู้เป็นหุ้นส่วนใช้แทนชื่อของตน
นั่นเอง./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานแม้มีการยื่นบัญชีระบุพยานล่าช้า ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจตามเหตุสมควรเพื่อความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพะยาน โดยเห็นว่าไม่ได้ยื่นก่อนกำหนดวันสืบพยาน 3 วัน ฝ่ายนั้นจึงยื่นคำร้องแสดงเหตุผลต่าง ๆ ขอให้ศาลสั่งรับบัญชีพยานเพื่อสืบพยานของคนต่อไปนั้น ถือได้ว่าเป็นการ
โต้แย้งคำสั่งตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 226 (2) แล้ว.
จำเลยยื่นบัญชีระบบพยานช้าไปเพียววันเดียว โดยมิได้จงใจฝ่าฝืน แต่เป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการ เพียงเท่านี้จะปรับ
ลงโทษถึงกับยอมให้จำเลยมีโอกาสสืบพยานทีเดียว เป็นการรุนแรงไป เมื่อโจทก์ไม่เสียเปรียบ ก็พอถือได้ว่ากรณีมี
เหตุสมควรเพื่อความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานหลักฐานจำเลยได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 87(2).
แม้จำเลยจะอุทธรณ์คัดค้านในข้อกฎหมายเพียงว่า การยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลย ไม่ผิดต่อกฎหมายเท่านั้น
แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าการยื่นบัญชีระพยานของจำเลยยังไม่ถูกต้องตาม ก.ม.ก็ดี เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นกรณี
มีเหตุสมควรเพื่อความยุติธรรมแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจยกเหตุสมควรเพื่อความยุติธรรมที่จะรับฟังพยาน
หลักฐานของจำเลยได้ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 87 (2) ไม่ถือว่าเป็นการเกินคำขอ./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีที่ดินศาลเจ้า: ผู้มีอำนาจฟ้องต้องได้รับการแต่งตั้งจากข้าหลวงประจำจังหวัด
ตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 123 ก็ดี กฏเสนาบดีว่าด้วยที่กุศลสถานชะนิดศาลเจ้าก็ดี หาได้ให้
อำนาจคณะกรรมการอำเภอหรือตัวนายอำเภอที่จะฟ้องร้องคดีเรื่องที่กุศลสถานชะนิดศาลเจ้าไม่ ฉะนั้นคณะกรรม
การหรือนายอำเภอจึงไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่บุคคลออกจากที่กุศลสถานชะนิดศาลเจ้า แต่ผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง
จากข้าหลวงประจำจังหวัดให้เป็นผู้ปกครองศาลเจ้า ย่อมอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ ได้./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78-85/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีซื้อขายฝิ่น: โจทก์ไม่ใช่พ่อค้า ต้องใช้บังคับอายุความ 10 ปี
คำว่า"พ่อค้า" ย่อมเป็นที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไปว่า ผู้ที่ประกอบกิจการค้าเป็นปกติ มิใช่ว่า ถ้าผู้ใดกระทำการค้าเพียงชั่วครั้งคราวก็ถือว่าเป็นพ่อค้า
กระทรวงการคลังต้องการฝิ่นเพื่อจำหน่ายแก่ประชาชน จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งให้มีอำนาจจัดซื้อฝิ่นจากเอกชนทั่วไปในภาคเหนือ ในการจัดหาซื้อฝิ่นนี้ เจ้าหน้าที่ได้ออกใบคุ้มครองกำหนดเขตที่จะไปหาฝิ่นให้ เมื่อได้ฝิ่นมาแล้ว จะนำไปขายแก่ผู้อื่นหรือใช้เองไม่ได้ ต้องขายแก่คณะกรรมการ ดังนี้จะเห็นได้ว่าพวกที่เข้าทำสัญญารับจะหาซื้อฝิ่นให้แก่คณะกรรมการนั้น เป็นการกระทำชั่วครั้งคราว มิได้เป็นการยั่งยืนดังลักษณะของพ่อค้าแต่อย่างใด ยิ่งเป็นเรื่องซื้อขายฝิ่นซึ่งตามปกติจะกระทำมิได้ เพราะกฎหมายห้าม ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่าจะถือว่าพวกเหล่านี้เป็นพ่อค้าไม่ได้ แม้จะปรากฎว่าบางคนได้จดทะเบียนพาณิชย์ตั้งร้านขายยาหรือทำป่าไม้ ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพ่อค้าขายฝิ่นรายนั้น ฉนั้นการที่พวกขายฝิ่นแก่คณะกรรมการจะฟ้องเรียกราคาฝิ่นจากคณะกรรมการหรือกระทรวงการคลัง จึงต้องถืออายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164
ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาฝิ่น แต่ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีให้จำเลยใช้ตั้งแต่วันฟังคำพิพากษาฎีกาเพราะมีกรณีมัวหมองระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย มิใช่จำเลยตระขัดสิน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดถือครอบครองที่ดินโดยมิชอบ เมื่อพ้นกำหนดไถ่ถอน เจ้าของหมดสิทธิเรียกคืน
มารดาเอาที่ดินมือเปล่าของบุตรไปขายฝากไว้แก่ผู้อื่น โดยไม่มีอำนาจ แต่เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามสัญญาแล้ว ไม่มีการไถ่การยึดถือของผู้รับซื้อฝากในที่ดินนั้น ย่อมเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเจ้าของตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1367 เมื่อเกิน 1 ปี แล้ว บุตรผู้เป็นเจ้าของก็หมดสิทธิที่จะเรียกที่ดินคืนได้./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาเถียงข้อเท็จจริงขัดกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังร่วมกัน ถือเป็นการต้องห้ามมิให้ฎีกา
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยปฏิเสธต่อสู่กรรมสิทธิว่าทรัพย์ของกลาง (ราคา 700 บาท) เป็นของจำเลยเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า ทรัพย์ของกลางเป็นของผู้เสียหาย ให้คืนแก่ผู้เสียหายแม้ศาลชั้นต้นจะลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ และศาลอุทธรณ์กลับมา จำเลยยังไม่ผิดในทางอาญา ให้ยกฟ้อง ก็ตาม จำเลยก็จะฎีกาเถียงข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์ของกลางเป็นของจำเลยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาโทษและยกฟ้องเมื่ออุทธรณ์ขอให้ลงโทษ แต่ข้อเท็จจริงไม่สมควรลงโทษ
คดีอาญาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงดทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์แล้วแต่ดุลยพินิจให้รอการลงอาญาโทษจำคุกไว้ แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์คงมีโจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวขอให้ลงโทษจำคุกโดยนไม่รอการลงอาญาก็ตาม ในการใช้ดุลยพินิจข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ จำต้องตรวจข้อเท็จจริงและเมื่อศาลอุทธรณ์ จำต้องตรวจข้อเท็จจริงและเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามข้อเท็๋จจริงยังไม่สมควรที่จะลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ คือพิพากษายกฟ้องได้.
of 219