คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เลขวณิชธรรมวิทักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,237 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมคบกันพยายามฆ่า: การกระทำร่วมกันของพี่น้องที่ไม่ได้ห้ามการยิง และแสดงเจตนาทำร้าย
เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยทั้ง 2 มีเหตุกับผู้เสียหาย วันเกิดเหตุจำเลยทั้ง 2 ซึ่งเป็นพี่น้องกันอยู่ที่เกิดเหตุก่อนผู้เสียหายมาถึง เมื่อจำเลยที่ 2 ใช้กระสุนยิงผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่ห้าม ครั้นผู้เสียหายเข้าไปถามว่าเรื่องอะไร จำเลยกลับพูดว่า วันนี้กูเอามึงแน่อ้ายทัด (ชื่อผู้เสียหาย) ทั้งที่จำเลยที่ 2 รู้และเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีปืนในขณะนั้น ดังนี้แสดงว่าจำเลยทั้งสองเจตนาร่วมกันในอันที่กระทำแก่ผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ยิงด้วยลูกกระสุน แล้วจำเลยที่ 1 ก็ยิงด้วยปืนในระยะเวลากระชั้นชิดติดต่อกัน จำเลยต้องมีผิดฐานสมคบกันพยายามฆ่าโดยเจตนา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินที่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิเดิม ผู้ซื้อทราบข้อเท็จจริงแต่ยังซื้อ โจทก์ต้องพิสูจน์ความสุจริต
โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่ดินมีโฉนดมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนการโอนแล้ว และว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาเมื่อ 5 - 6 ปี จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองมากว่า 10 ปี แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนมาโดยไม่สุจริตจำเลยก็นำสืบว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาตั้งแต่เจ้าของเดิมกว่า 10 ปีแล้วได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินที่มีข้อพิพาทเรื่องการครอบครองก่อนการจดทะเบียน การเสี่ยงรับซื้อทราบข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่ดินมีโฉนดมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนการโอนแล้ว และว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาเมื่อ 5-6 ปีจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองมากว่า 10 ปี แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยไม่สุจริตจำเลยก็นำสืบว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มาตั้งแต่เจ้าของเดิมกว่า 10 ปีแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีมรดกของผู้เยาว์และการหมดอายุความตามกฎหมาย
เมื่อเจ้ามรดกตายทายาทซึ่งเป็นผู้เยาว์มีมารดาเป็นผู้เทนโดยชอบธรรมมารดาของทายาทผู้เยาว์มิได้ฟ้องคดีมรดกเสียภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันเจ้ามรดกตาย ต่อมาเมื่อผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้วจะมาฟ้องคดีมรดกเองหาได้ไม่ เพราะกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. ม.183.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีมรดกโดยผู้เยาว์ผ่านผู้แทนโดยชอบธรรมมีกำหนดเวลาฟ้อง หากพ้นกำหนดสิทธิขาดสิ้น
เมื่อเจ้ามรดกตายทายาทซึ่งเป็นผู้เยาว์มีมารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมารดาของทายาทผู้เยาว์มิได้ฟ้องคดีมรดกเสียภายในกำหนด1 ปีนับแต่วันเจ้ามรดกตายต่อมาเมื่อผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้วจะมาฟ้องคดีมรดกเองหาได้ไม่เพราะกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา183

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขับไล่: ผู้เช่าไม่มีสิทธิฟ้องผู้ครอบครองก่อนทำสัญญาเช่า
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เช่าแผงลอยจากกรมประชาสงเคราะห์ จำเลยอาศัย ขอให้ขับไล่ จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้อาศัยและต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ในแผงลอยรายพิพาทมาก่อนเวลาที่โจทก์อ้างว่าเช่าจากกรมประชาสงค์เคราะห์เช่นนี้ถ้าเป็นจริงอย่างที่จำเลยต่อสู้ โจทก์ชอบจะฟ้องกรมประชาสงเคราะห์ ที่ไม่สามารถส่งมอบแผงลอยรายพิพาทให้โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เป็นผู้เช่าจากกรมประชาสงเคราะห์และมิได้เช่าแทนจำเลย พิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์แม้จะฟังว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าเพื่อตนเอง โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เพราะจำเลยครอบครองแผงลอยรายพิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่า ดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ว่าถ้าข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยครอบครองมาแผงลอยรายพิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่ากับกรมประชาสงเคราะห์ โจทก์จะมีอำนาจฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยหรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้จำเลยมิได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่าโจทก์เป็นผู้เช่าแทนจำเลย อุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.224.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขับไล่: ผู้เช่าเดิมครอบครองก่อนทำสัญญาเช่าใหม่ มีผลต่ออำนาจฟ้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เช่าแผงลอยจากกรมประชาสงเคราะห์ จำเลยอาศัย ขอให้ขับไล่จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้อาศัยและต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ในแผงลอยรายพิพาทมาก่อนเวลาที่โจทก์อ้างว่าเช่าจากกรมประชาสงเคราะห์เช่นนี้ถ้าเป็นจริงอย่างที่จำเลยต่อสู้โจทก์ชอบจะฟ้องกรมประชาสงเคราะห์ ที่ไม่สามารถส่งมอบแผงลอยรายพิพาทให้โจทก์ได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เป็นผู้เช่าจากกรมประชาสงเคราะห์และมิได้เช่าแทนจำเลยพิพากษาให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ว่าแม้จะฟังว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าเพื่อตนเองโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะจำเลยครอบครองแผลลอยรายพิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ว่าถ้าข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยครอบครองแผงลอยรายพิพาทมาก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่ากับกรมประชาสงเคราะห์โจทก์จะมีอำนาจฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยหรือไม่อุทธรณ์ข้อนี้จำเลยมิได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่าโจทก์เป็นผู้เช่าแทนจำเลยอุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์-ขาดลายมือชื่อผู้เรียง-บทลงโทษไม้หวงห้าม-ศาลฎีกายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษฐานปาณีตาม ก.ม.อาญา ม.59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ ๆ มิได้อ้าง พ.ร.บ.ป่ไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 คงอ้างมาแต่ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราใน ก.ม.ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ม.69,73 ได้ถูกยกเลิกตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ม.16,17 แล้วเมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง ม.69 และ 73 แห่งพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรรณ์ตาม ป.วิ.อาญา ม.158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ก.ม.หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริง จึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตาม ป.วิ.อาญา ม.158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้ว แต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ 1 บาท คืนให้จำเลยนั้น กรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษา เมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ๆ จึงไม่วินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีป่าไม้และการขาดลายมือชื่อผู้เรียงฟ้องส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายของคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษทั้งจำคุกและปรับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเพียงเล็กน้อยในข้อให้ลดโทษฐานปราณีตาม กฎหมายอาญา มาตรา 59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69,73 คงอ้างมาแต่ พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2494 มาตรา16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 69,73 ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 มาตรา 16,17 แล้ว เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง มาตรา 69 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริงจึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้วแต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ1 บาท คืนให้จำเลยนั้นกรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษาเมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวม & การยึดทรัพย์: สิทธิเจ้าของรวมไม่ตัดสิทธิการบังคับคดีแบ่งทรัพย์สิน
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินกับจำเลยเป็นสัดส่วนแน่นอนและต่างได้ครอบครองส่วนที่แบ่งกันมาเกิน 10 ปีแล้วนั้นถือว่าผู้ร้องอ้างเจตนาได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์++ทางอื่นนอกจากนิติกรรมซึ่งโดย ม.1299 วรรค 2 สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องหากยังมิได้จดทะเบียนแล้วจะยก++เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่
ดังนั้นเมื่อได้ความว่าโจทก์เจ้าหนี้จำนองนำยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเพื่อชำระหนี้ การที่ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นสัดส่วนแน่นอนเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงขอให้ขายที่ดินที่ยึดมาเฉพาะส่วนของจำเลยนั้น เมื่อข้ออ้างการแบ่งทรัพย์ของผู้ร้องจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้แล้ว ต้องถือว่ากรรมสิทธิของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมดและการที่ผู้ร้องร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตาม ก็มีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.288 ผู้ร้องจะต้องอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องจึงดำเนินคดี+างร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ โจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้ แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287 ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีการที่ 481/2492.
of 324