พบผลลัพธ์ทั้งหมด 698 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตควบคุมการแปรรูปไม้: การพิสูจน์การประกาศและการปิดประกาศเพื่อความถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำการแปรรูปไม้สัก ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเหตุเกิดในป่าตำบลหนึ่ง อันเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ซึ่งรัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา พ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศ และได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณะที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการกำนันและที่สาธารณะสถานในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องที่เกิดเหตุนี้แล้ว ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด เฉย ๆ แม้มิได้ต่อสู้ว่าตำบลที่เกิดเหตุไม่ใช่เหตุควบคุมแปรรูปไม้ และมิได้ต่อสู้ว่าไม่มีการปิดประกาศที่เกิดเหตุ ก็ดี ศาลก็ยังต้องวินิจฉัยว่าตำบลที่เกิดเหตุนั้น เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้แล้วหรือไม่ และมีการประกาศและปิดสำเนาประกาศถูกต้องแล้วหรือไม่ด้วย ซึ่งในข้อวินิจฉัยนี้ แม้โจทก์จะมีพยานคือ ป่าไม้เขตและป่าไม้จังหวัดนั้น มาเบิกความว่าตำบลที่เกิดเหตุได้ประกาศกำหนดเป็นเขตควบคุมกรแปรรูปไม้และได้ปิดประกาศไว้ด้วยแล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้นำตัวประกาศหรือสำเนา อันเจ้าหน้าที่รับรองว่า ถูกต้องมาแสดงให้ปรากฎ ทั้งผู้ปิดประกาศนั้น ก็ไม่มีมาเบิกความเช่นนี้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่า ที่ว่าที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมีประกาศและปิดประกาศแล้วนั้น ฟังไม่ได้ จึงต้องพิพากษายกฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด เฉย ๆ แม้มิได้ต่อสู้ว่าตำบลที่เกิดเหตุไม่ใช่เหตุควบคุมแปรรูปไม้ และมิได้ต่อสู้ว่าไม่มีการปิดประกาศที่เกิดเหตุ ก็ดี ศาลก็ยังต้องวินิจฉัยว่าตำบลที่เกิดเหตุนั้น เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้แล้วหรือไม่ และมีการประกาศและปิดสำเนาประกาศถูกต้องแล้วหรือไม่ด้วย ซึ่งในข้อวินิจฉัยนี้ แม้โจทก์จะมีพยานคือ ป่าไม้เขตและป่าไม้จังหวัดนั้น มาเบิกความว่าตำบลที่เกิดเหตุได้ประกาศกำหนดเป็นเขตควบคุมกรแปรรูปไม้และได้ปิดประกาศไว้ด้วยแล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้นำตัวประกาศหรือสำเนา อันเจ้าหน้าที่รับรองว่า ถูกต้องมาแสดงให้ปรากฎ ทั้งผู้ปิดประกาศนั้น ก็ไม่มีมาเบิกความเช่นนี้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่า ที่ว่าที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมีประกาศและปิดประกาศแล้วนั้น ฟังไม่ได้ จึงต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1834/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตควบคุมการแปรรูปไม้: การพิสูจน์ประกาศและการปิดประกาศ
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำการแปรรูปไม้สัก ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดในป่าตำบลหนึ่ง อันเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ซึ่งรัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา พ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศ และได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการกำนันและที่สาธารณะสถานในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องที่เกิดเหตุนี้แล้ว ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดเฉยๆ แม้มิได้ต่อสู้ว่าตำบลที่เกิดเหตุไม่ใช่เขตควบคุมแปรรูปไม้ และมิได้ต่อสู้ว่าไม่มีการปิดประกาศณที่เกิดเหตุก็ดีศาลก็ยังต้องวินิจฉัยว่าตำบลที่เกิดเหตุนั้น เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้แล้วหรือไม่ และมีการประกาศและปิดสำเนาประกาศถูกต้องแล้วหรือไม่ด้วย ซึ่งในข้อวินิจฉัยนี้แม้โจทก์จะมีพยานคือ ป่าไม้เขตและป่าไม้จังหวัดนั้น มาเบิกความว่าตำบลที่เกิดเหตุได้ประกาศกำหนดเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้และได้ปิดประกาศไว้ด้วยแล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้นำตัวประกาศหรือสำเนา อันเจ้าหน้าที่รับรองว่า ถูกต้องมาแสดงให้ปรากฏ ทั้งผู้ปิดประกาศนั้นก็ไม่มีมาเบิกความเช่นนี้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าที่ว่าที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมีประกาศและปิดประกาศแล้วนั้นฟังไม่ได้
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดเฉยๆ แม้มิได้ต่อสู้ว่าตำบลที่เกิดเหตุไม่ใช่เขตควบคุมแปรรูปไม้ และมิได้ต่อสู้ว่าไม่มีการปิดประกาศณที่เกิดเหตุก็ดีศาลก็ยังต้องวินิจฉัยว่าตำบลที่เกิดเหตุนั้น เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้แล้วหรือไม่ และมีการประกาศและปิดสำเนาประกาศถูกต้องแล้วหรือไม่ด้วย ซึ่งในข้อวินิจฉัยนี้แม้โจทก์จะมีพยานคือ ป่าไม้เขตและป่าไม้จังหวัดนั้น มาเบิกความว่าตำบลที่เกิดเหตุได้ประกาศกำหนดเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้และได้ปิดประกาศไว้ด้วยแล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้นำตัวประกาศหรือสำเนา อันเจ้าหน้าที่รับรองว่า ถูกต้องมาแสดงให้ปรากฏ ทั้งผู้ปิดประกาศนั้นก็ไม่มีมาเบิกความเช่นนี้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าที่ว่าที่เกิดเหตุเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมีประกาศและปิดประกาศแล้วนั้นฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานจำเลย: ศาลอุทธรณ์ต้องรอการสืบพยานจำเลยให้ครบถ้วนก่อนตัดสินคดี
ในคดีอาญา เมื่อศาลชั้นต้นเชื่อข้อต่อสู้ของจำเลยแล้ว จึงให้งดสืบพยานจำเลยต่อไปแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์เสียดังนี้ เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ ๆ ไม่เชื่อข้อต่อสู้ของจำเลย ก็จะรวบรัดตัดสินลงโทษจำเลยไปยังไม่ชอบ เพราะจำเลยยังสืบพยานไม่หมด ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเสียให้สิ้นกระแสร์ความก่อน แล้วศาลอุทธรณ์จึงจะวินิจฉัยตัดสินคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานจำเลยและการรวบรัดตัดสินคดี ศาลอุทธรณ์ต้องรอการสืบพยานจำเลยให้สิ้นสุดก่อน
ในคดีอาญา เมื่อศาลชั้นต้นเชื่อข้อต่อสู้ของจำเลยแล้ว จึงให้งดสืบพยานจำเลยต่อไปแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์เสียดังนี้ เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อข้อต่อสู้ของจำเลย ก็จะรวบรัดตัดสินลงโทษจำเลยไปยังไม่ชอบ เพราะจำเลยยังสืบพยานไม่หมด ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเสียให้สิ้นกระแสความก่อนแล้วศาลอุทธรณ์จึงจะวินิจฉัยตัดสินคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานที่ถูกแนะนำคำให้การ: ศาลต้องพิจารณาความสัตย์จริงในการเบิกความ หากพยานเบิกความตามรู้เห็นจริง ไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย
ฝ่ายผู้เสียหายพิมพ์คำให้การและแผนที่เกิดเหตุแจกจ่ายพยานโจทก์เพื่อให้พยานเบิกความตามนั้น แต่เมื่อพยานดังกล่าวมาเบิกความต่อศาลพยานต่างยืนยันว่าได้ให้การตามรู้ตามเห็นโดยสัตย์จริงทั้งนั้น พยานไม่ได้ยึดถือเอาข้อความที่เขาพิมพ์แจกมาให้การต่อศาล ดังนี้คำพยานเหล่านี้ถ้าเบิกความประกอบด้วยเหตุผลก็ย่อมฟังได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ป.ม.วิ.อาญามาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความของพยานที่ไม่ยึดถือคำให้การที่ผู้เสียหายจัดทำ ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ฝ่ายผู้เสียหายพิมพ์คำให้การและแผนที่เกิดเหตุแจกจ่ายพยานโจทก์เพื่อให้พยานเบิกความตามนั้น แต่เมื่อพยานดังกล่าวมาเบิกความต่อศาล พยานต่างยืนยันว่าได้ให้การตามรู้ตามเห็นโดยสัตย์จริงทั้งนั้น พยานไม่ได้ยึดถือเอาข้อความที่เขาพิมพ์แจกมา ให้การต่อศาล ดังนี้ คำพยานเหล่านี้ถ้าเบิกความประกอบด้วยเหตุผลก็ย่อมฟังได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานบาดแผลสาหัส ศาลต้องเปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยาน แม้จำเลยและผู้เสียหายจะให้การไม่สอดคล้องกัน
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ประกอบด้วยทุกข์เวทนากล้าเกินกว่า 20 วัน แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลสาหัสมากน่ากลัวอันตราย รักษาประมาณ 1 เดือน จำเลยรับสารภาพ แม้ผู้เสียหายกับจำเลยแถลงต้องกันว่ารักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 14 วันก็หาย โจทก์ไม่คัดค้านแต่จะขอสืบพยานว่าเป็นบาดแผลสาหัส ดังนี้ ศาลต้องให้โจทก์นำสืบ จะสั่งงดไม่สบพยานเสียไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์บาดแผลสาหัส: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ แม้จำเลยและผู้เสียหายให้การต่างกัน
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสประกอบด้วยทุกข์เวทนากล้าเกินกว่า 20 วัน แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลสาหัสมากน่ากลัวอันตราย รักษาประมาณ 1 เดือนจำเลยรับสารภาพแม้ผู้เสียหายกับจำเลยแถลงต้องกันว่ารักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 14 วันก็หาย โจทก์ไม่คัดค้านแต่จะขอสืบพยานว่าเป็นบาดแผลสาหัสดังนี้ ศาลต้องให้โจทก์นำสืบ จะสั่งงดไม่สืบพยานเสียไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699-1704/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษอาญาต้องอาศัยพยานหลักฐานชัดเจน คำรับสารภาพและคำให้การฝ่ายเดียวไม่เพียงพอ
คดีอาญามีปัญหาฉะเพาะข้อกฎหมายซึ่งศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริง ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา เมื่อปรากฎว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง โดยไม่มีคำพะยานในสำนวนสนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกข้อเท็จจริงขึ้นพิจารณาได้
ถ้ามีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพะยานหลักฐาน.
ถ้ามีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพะยานหลักฐาน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699-1704/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพและพยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ได้
คดีอาญามีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายซึ่งศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริง ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง โดยไม่มีคำพยานในสำนวนสนับสนุน ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกข้อเท็จจริงขึ้นพิจารณาได้
คดีมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพยานหลักฐาน
คดีมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ลำพังแต่คำรับสารภาพไม่ใช่คำพยานหลักฐาน