คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 226

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 698 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4344/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย: พฤติการณ์ของผู้ต้องหาต้องแสดงเจตนาหรือการสนับสนุนการกระทำความผิด
ย. แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดฟันผู้เสียหาย โดยจำเลยแม้จะถือมีดอยู่ในมือก็ไม่ได้ใช้มีดฟันผู้เสียหายด้วย ทั้งการที่ ย. ใช้มีดฟันผู้เสียหายก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด จำเลยมิได้เตรียมมีดติดตัวมาเพื่อใช้เป็นอาวุธ และ ย. ส่งมีดให้จำเลยภายหลังที่จำเลยชก ส. ล้มลงและผู้เสียหายเข้าห้ามแล้วเท่านั้น พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่า จำเลยมิได้ร่วมเป็นตัวการกับ ย. ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย
พยานโจทก์ทั้งสามเป็นประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันเบิกความแตกต่างกันในสาระสำคัญย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันเจตนาใช้กำลังประทุษร้าย ไม่สามารถรับฟังจากคำรับของจำเลยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้อาวุธมีดปลายแหลมขู่เข็ญ ผู้เสียหายว่าทันใดนั้นจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายหากผู้เสียหายขัดขืน แสดงว่าจำเลยมีอาวุธมีดและยังไม่ได้แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้น ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ถูกของแหลมยาวประมาณ 6 ถึง 7 นิ้ว ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใด ทิ่มแทงที่ชายโครง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏบาดแผลและอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเป็นของกลาง จึงรับฟังไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริง รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย ลำพังแต่คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ย่อมไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้ ส่วนที่จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้หยิบไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าเข้าใกล้จำเลย เท่ากับเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่ข้อเท็จจริง ที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ คำเบิกความของจำเลยมิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานการลงโทษอาญาต้องมาจากโจทก์ คำรับจำเลยใช้ลงโทษไม่ได้
ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ แม้จำเลยเบิกความรับข้อเท็จจริงใดก็มิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่และข้อโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้น/อุทธรณ์ รวมถึงประเด็นโทษจำคุกที่ไม่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนจำนวน 16 หลอด และมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 76 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ส่วนเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนที่เหลือเป็นของ ส. โดยจำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนจำนวน 16 หลอด และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 66 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่จึงยุติไป โจทก์จะโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ แล้วคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 7,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับ ส. มีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตและขอให้ลงโทษสถานหนักโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดโทษของศาลว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 เพียงใด อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
เมื่อขณะค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ของกลาง จำเลยที่ 1 นอนหลับอยู่บนเตียง แม้จะได้ความว่าจำเลยทั้งสองเช่าห้องพักที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกัน เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน ที่ถูกต้องจำคุก 9 เดือน แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษ ก็เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 คดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัย ของศาลฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานที่ให้การจากการถูกเกลี้ยกล่อมและสัญญาว่าจะไม่ดำเนินคดี ไม่น่าเชื่อถือ และหลักฐานโจทก์อ่อนแอ
ส. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจาก ส. แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจเสนอว่าหาก ส. ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จำหน่ายให้ก็จะไม่ดำเนินคดี ส. จึงไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย การที่ ส. มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ จึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและให้คำมั่นสัญญาโดยมิชอบของ เจ้าพนักงานตำรวจ รับฟังเป็นพยานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานที่เบิกความจากการถูกจูงใจด้วยคำมั่นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่น่าเชื่อถือตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ส. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง โดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจาก ส. แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจเสนอว่า หาก ส. ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จำหน่ายให้ก็จะไม่ดำเนินคดี ส. จึงไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย การที่ ส. มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ จึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและให้คำมั่นสัญญาโดยมิชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ รับฟังเป็นพยานไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226 (เหตุเกิดวันที่ 3 เมษายน 2540)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตรวจค้นและจับกุมโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้หมายค้นผิดพลาด และการจับกุมเนื่องจากความผิดซึ่งหน้า
นายดาบตำรวจ ว. ค้นบ้านของจำเลยโดยมีหมายค้น ส่วนที่หมายค้นระบุเลขที่บ้านผิดไปหามีผลทำให้หมายค้นเสียไปไม่ ทั้งจำเลยก็ยอมให้ตรวจค้นบ้านโดยดี การค้นบ้านจำเลยจึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 35 ( เหตุเกิด 9 กรกฎาคม 2540 เวลากลางวัน )
นายดาบตำรวจ ว. กับพวกเห็นจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ เมื่อเข้าไปตรวจค้นบ้านจำเลยก็พบเมทแอมเฟตามีนอีก 1 เม็ด การกระทำของนายดาบตำรวจ ว. กับพวกกระทำต่อเนื่องกัน เมื่อพบเห็นจำเลยจำหน่าย และมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อ. มาตรา 80 จึงมีอำนาจจับจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตามมาตรา 78 (1)
การตรวจค้นและจับจำเลยกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมิใช่พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตรวจค้นและจับกุมโดยมีหมายค้นผิดพลาด และอำนาจจับกุมความผิดซึ่งหน้า ยาเสพติด
นายดาบตำรวจ ว. ค้นบ้านของจำเลยโดยมีหมายค้นส่วนที่หมายค้นระบุเลขที่บ้านผิดไปหามีผลทำให้หมายค้นเสียไปไม่การค้นบ้านจำเลยจึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 35
นายดาบตำรวจ ว. กับพวกเห็นจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ เมื่อเข้าไปตรวจค้นบ้านจำเลยก็พบเมทแอมเฟตามีนอีก1 เม็ด การกระทำของนายดาบตำรวจ ว. กับพวกกระทำต่อเนื่องกันเมื่อพบเห็นจำเลยจำหน่าย และมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อ จำหน่าย อันเป็นความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80 จึงมีอำนาจจับจำเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตามมาตรา 78(1) เมื่อเป็นการตรวจค้นและจับจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมิใช่พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบด้วยมาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเจ้าพนักงานปลอมเอกสารราชการและช่วยเหลือการหลีกเลี่ยงภาษี การกระทำความผิดร่วมกัน
การที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตอบหนังสือแจ้งให้กรมการขนส่งทราบตามความเป็นจริงว่ารถยนต์คันที่จดทะเบียนเป็นรถยนต์ใหม่ไม่ตรงกับรายงานการยึดว่าเป็นรถยนต์เก่า แต่ปรากฏว่าลายมือชื่อในหนังสือถึงกรมการขนส่งเป็นลายมือชื่อของผู้พิพากษาซึ่งเป็นลายมือชื่อปลอมเป็นผลให้กรมการขนส่งจดทะเบียนโอนรถให้แก่ผู้ประมูลซื้อได้ แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะที่จำเลยกระทำการปลอมและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว แต่จากพฤติการณ์แวดล้อมกรณีย่อมเชื่อว่า จำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมด้วย เนื่องจากจำเลยเป็นจ่าศาลมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับคดีโดยตรง จำเลยได้ทราบและติดตามเรื่องนี้มาตลอด หากจำเลยไม่เกี่ยวข้อง หลังจากไปยึดทรัพย์แล้วจำเลยก็ไม่ควรไปปรึกษาหารือผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเกี่ยวกับเรื่องการตอบหนังสือ หลังจากที่จำเลยได้รับคำสั่งให้ตอบหนังสือแล้ว จำเลยก็ไม่นำสืบให้ปรากฏว่า จำเลยไม่ได้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือบุคคลอื่นได้มากระทำการปลอมหนังสือและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการตอบเอกสารแล้ว พฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้มีส่วนร่วมในการทำเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมและใช้เอกสารดังกล่าวในการดำเนินการให้บุคคลอื่นเสียหาย
จำเลยเป็นจ่าศาลมีหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา จำเลยไปยึดทรัพย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษายึดได้รถยนต์ของกลาง รายงานผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนว่าเป็นรถเก่าไม่มีหมายเลขทะเบียน เมื่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสั่งให้ตรวจสอบก็ยืนยันว่าไม่สามารถตรวจสอบหมายเลขทะเบียนได้ ทั้งนี้เพื่อนำไปขอเลขทะเบียนใหม่ได้ตามความต้องการ เมื่อกรมการขนส่งมีหนังสือสอบถามเพื่อให้ยืนยันถึงเรื่องการจดทะเบียนรถยนต์ของกลางก็มีการร่วมกันทำเอกสารราชการปลอมขึ้นเพื่อให้กรมการขนส่งออกทะเบียนรถให้ พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการช่วยจำหน่ายซึ่งสิ่งของที่จำเลยรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 810-813/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันฉ้อโกงโดยใช้เอกสารเท็จ และการรับฟังพยานร่วม การพิสูจน์ความผิดฐานฉ้อโกง
คำให้การของ ส. ซึ่งเป็นผู้กระทำผิด ที่พาดพิงถึงจำเลยมีลักษณะเป็นการซัดทอด แต่ก็ใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เสียทีเดียว และ ส. ไม่ได้ เป็นจำเลยในคดีนี้ มิใช่เป็นการซัดทอดจำเลยในคดีเดียวกันทั้ง ส. มาเบิกความด้วยตนเองโดยตรงต่อศาล มิใช่พยานบอกเล่าจึงรับฟังได้
of 70