พบผลลัพธ์ทั้งหมด 739 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดี: ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตเลื่อนการสืบพยานเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและแสดงความไม่ใส่ใจคดี
จำเลยขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยติดต่อกันมาหลายครั้ง โดยในสองครั้งสุดท้ายศาลชั้นต้นได้สั่งกำชับจำเลยทั้งสามไว้อย่างชัดแจ้งว่าจะไม่ให้เลื่อนคดีอีกไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และให้สืบพยานจำเลยให้ได้ในนัดต่อไป แต่จำเลยก็หาได้นำพาไม่ พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว เป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยไม่เอาใจใส่และไม่ให้ความสำคัญแก่คดีของจำเลยเอง อันถือได้ว่าเป็นการประวิงคดีศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3410/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่เอาใจใส่คดีและการประวิงคดีของจำเลย ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การ
ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลื่อนวันนัดพิจารณาจากวันที่ 28มีนาคม 2532 ไปเป็นวันที่ 17 เมษายน 2532 ตามคำร้อง ของ จำเลยที่อ้างว่า ส. หุ้นส่วนผู้จัดการไปติดต่อธุรกิจในต่างประเทศเป็นการให้โอกาสและความเที่ยงธรรมแก่จำเลยในการต่อสู้คดีตามสมควรแล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยอาจยื่นคำให้การได้ในวันหรือก่อนวันนัดพิจารณาครั้งหลัง การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาดังกล่าวโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องและไม่ได้ยื่นคำให้การก่อนหรือในวันนัดพิจารณา แสดงว่าจำเลยเห็นว่าวันนัดของศาลไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ และไม่เอาใจใส่ต่อคดีของตน ดังนั้นที่จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การในวันที่ 4 พฤษภาคม 2532 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ โดยอ้างว่า ส. ไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศอีก จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจำเลยไม่เอาใจใส่ต่อคดีและเจตนาประวิงคดีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3400/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวทนายและการหมดอายุความคดีกองทุนเงินทดแทน ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลแรงงานกลาง
การจะอนุญาตให้ทนายความถอนตนจากการตั้งแต่ง เป็นทนายความของตัวความในคดีหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลย แล้วทนายจำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางควรให้ทนายจำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวไปให้จำเลยทราบเสียก่อน และควรมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อนนั้น เท่ากับเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการตั้งแต่งเป็นทนายความของจำเลยโดยไม่ชอบ จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การฟ้องเรียกเงินที่ นายจ้าง ต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี
การฟ้องเรียกเงินที่ นายจ้าง ต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3398/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องที่ไม่สุจริตเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องและฟ้องใหม่ ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลไม่อนุญาต
โจทก์ขอถอนฟ้องเพราะเห็นว่าดวงตราที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจและในสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ การขอถอนฟ้องจึงมิได้เป็นไปโดยสุจริตแต่เพื่อฉวยโอกาสปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินคดีที่ทำไปแล้วและนำคดีมาฟ้องจำเลยใหม่อีก ซึ่งย่อมจะทำให้จำเลยเสียเปรียบชอบที่ศาลจะไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3380/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยโดยศาลอุทธรณ์ ทำให้จำเลยไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกให้รื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินบางส่วนของโจทก์ที่ 1 ซึ่งให้โจทก์ที่ 2 เช่าและร่วมกันเรียกค่าเสียหาย 10,000 บาท กับอีกเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองชนะคดีเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพียงเดือนละ 500 บาท คงให้โจทก์ที่ 1 ชนะคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3139/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีแพ่ง แม้จำเลยคัดค้านว่าเป็นการปรับปรุงฟ้องเพื่อเสียเปรียบ
การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีแพ่งได้หรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลโดยเฉพาะ ดังนั้น แม้จำเลยจะคัดค้านว่าโจทก์ขอถอนฟ้องเพื่อนำฟ้องไปปรับปรุงใหม่ให้สมบูรณ์โดยถือเอาประโยชน์จากคำให้การของจำเลยเป็นแนวทาง ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี เมื่อศาลเห็นว่าคำคัดค้านของจำเลยไม่เป็นเหตุที่จะใช้ดุลพินิจไม่ให้โจทก์ถอนฟ้อง ก็อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3133/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การนำสืบที่มาของที่ดินจะแตกต่างจากคำร้องเดิม
ผู้ร้องกล่าวในคำร้องว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจาก ช. แต่นำสืบว่า จ. มารดาผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจาก ช. แล้ว ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทต่อจาก จ. อีกทีหนึ่ง เป็นการนำสืบถึงที่มาของที่ดินพิพาทและการได้ที่ดินพิพาทมา ไม่ถือว่าทางนำสืบต่างกับคำร้องถึงขนาดเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3120/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำพิพากษาขับไล่และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดิน: การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ได้ให้จำเลยอยู่อาศัย และมีคำขอท้ายฟ้องให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ให้ส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ ทั้งได้ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกด้วย ดังนี้ เมื่อศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ก็ย่อมมีความหมายว่าจำเลยจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ ทรัพย์สินใด ๆของจำเลยที่อยู่ในที่พิพาทจำเลยต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาทด้วยดังนั้น เมื่อบ้านเป็นของจำเลย การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่พิพาทจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องแต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็คแม้ไม่มีตราบริษัท การฟ้องไม่เกินกรอบคำฟ้อง
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยที่ 2 เองมอบให้ ม. นำไปเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ส่วนตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คมิใช่ตราของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วย มิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าตราที่ประทับในช่องผู้สั่งจ่ายเป็นตราของจำเลยที่ 1ก็บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วย มิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าตราที่ประทับในช่องผู้สั่งจ่ายเป็นตราของจำเลยที่ 1ก็บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3020/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินบำเหน็จข้าราชการได้รับการคุ้มครองจากการบังคับคดี หากยังไม่ได้ปะปนกับเงินอื่น
จำเลยมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเนื่องจากลาออกจากราชการและจำเลยเพิ่งได้รับเงินบำเหน็จมาจากเจ้าหน้าที่การเงินโดยที่เงินบำเหน็จนั้นยังมิได้ปะปนกับเงินอื่นของจำเลยจนแยกไม่ออกเช่นนี้ โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินบำเหน็จดังกล่าวจากจำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาหาได้ไม่.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2532)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2532)