คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 83

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,763 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย แม้ไม่ได้ร่วมทำร้ายโดยตรง
ระหว่างจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้ตาย จำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้านหลังจำเลยที่ 1 และพูดกับผู้ตายว่า "มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร กูเป็นตำรวจ กูจะเอาปืนมายิงมึง" แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตายด้วย แต่การพูดของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการข่มขู่ให้ผู้ตายเกิดความกลัวไม่กล้าต่อสู้และเป็นการปลุกเร้าให้จำเลยที่ 1 ฮึกเหิมทำร้ายร่างกายผู้ตายต่อไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น จึงเป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ไม่เป็นความผิดฐานตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าว ศาลฎีกาลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ แม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องเพราะข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญ และจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ vs. ข่มขืนใจโดยใช้กำลัง: การพิจารณาความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยทั้งสามมิได้มีเจตนาทุจริตที่จะร่วมกันลักเงินของผู้เสียหาย เนื่องจากสนิทสนมกันเป็นญาติและเป็นเพื่อนกัน ทั้งเกิดความคึกคะนองตามประสาของวัยรุ่นและขณะนั้นก็นั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกันจนหมด จึงน่าจะช่วยกันออกเงินค่าสุราบ้างเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 พูดขอเงินหลายครั้งแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ให้ จึงได้ถือวิสาสะเข้าค้นตัวผู้เสียหายเพื่อค้นเอาเงิน จำเลยที่ 2 และที่ 3 เพียงแต่จับแขนขาของผู้เสียหายไว้แน่นเท่านั้น ไม่ได้ทำร้าย ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่เข้ายึดแขนขาของผู้เสียหายเป็นเพียงการยึดตัวผู้เสียหายให้อยู่นิ่งเพื่อให้จำเลยที่ 1 ค้นตัวได้สะดวกเท่านั้นการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายต้องจำยอมให้จำเลยทั้งสามค้นตัวและเอาเงินไป มิใช่ความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: การมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหลังเกิดเหตุ ไม่ถือเป็นตัวการร่วม
ในส่วนของจำเลยที่ 7 ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 5 ขับรถยนต์กระบะออกจากขนำที่เกิดเหตุไปโดยบอกว่าจะไปรับพวกอีกคนหนึ่ง แล้วจำเลยที่ 5 ขับรถยนต์กระบะกลับมาพร้อมจำเลยที่ 7 เมื่อมาถึงขนำที่เกิดเหตุ ในขณะที่จำเลยที่ 7 ยืนปัสสาวะอยู่ จำเลยที่ 4 และที่ 6 ซึ่งกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เสร็จแล้วได้ออกมาจากขนำ โดยผู้เสียหายที่ 1 เดินตามออกมาด้วย จำเลยที่ 7 จับมือผู้เสียหายที่ 1 พร้อมถามว่าจะไปไหน ผู้เสียหายที 1 ตอบว่าขอไปปัสสาวะ จำเลยที่ 7 ไม่เชื่อดึงมือผู้เสียหายที่ 1 ไว้อีก ผู้เสียหายที่ 1 สะบัดหลุดวิ่งหนีเข้าไปในป่า จำเลยที่ 7 กับพวกติดตามไม่พบ เนื่องจากผู้เสียหายซ่อนตัวอยู่นั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 7 มีส่วนร่วมคบคิดหรือนัดแนะกับจำเลยอื่นในการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารมาแต่ต้น การที่จำเลยที่ 7 มายังขนำที่เกิดเหตุและกระทำการดังกล่าวหลังจากที่จำเลยอื่นได้พาผู้เสียหายที่ 1 มากระทำชำเราแล้ว ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 7 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยอื่นพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกันจากการลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว และการปรับบทมาตรา 86
การที่จำเลยลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน แม้จะเป็นการรับรองในวันเดียวกัน พร้อมๆ กัน และมีเจตนาที่จะให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่คนต่างด้าว 7 คน ในเวลาเดียวกัน แต่จำเลยได้กระทำให้แก่คนต่างด้าวแต่ละคน ย่อมเป็นความผิดสำเร็จในตัวของแต่ละคนและอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542 มาตรา 8 ยกเลิกความในมาตรา 13 และมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงต้องใช้กฎหมายขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย นอกจากนี้โจทก์ยังฟ้องว่า จำเลยสนับสนุนในการที่คนต่างด้าวกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 ซึ่งเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 (1) และไม่ปรับบทตาม ป.อ. มาตรา 86 มาด้วย จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137, 264, 267, 268, 83 โดยมิได้ระบุวรรคมาด้วยก็ไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2312/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดเกี่ยวกับไม้หวงห้าม เลื่อยโซ่ยนต์ และการนำเข้าหลีกเลี่ยงอากร ศาลพิจารณาองค์ประกอบความผิดและแก้ไขโทษ
เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง การที่โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 83 แห่ง ป.อ. หาทำให้คำฟ้องบกพร่องจนศาลไม่อาจจะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ไม่ เพราะตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 บัญญัติว่า "ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี... (6) อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด..." ซึ่ง ป.อ. มาตรา 83 มิใช่บทมาตราที่กฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดแล้ว แม้จะไม่ได้ระบุมาตรา 83 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานตัวการร่วมกันกระทำความผิดได้
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดองค์ประกอบความผิด แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษฐานดังกล่าว โดยอ้างมาตรา 4, 19 แห่ง พ.ร.บ.เลื่อยโซ่ยนต์ ฯ มาด้วย ศาลฎีกาไม่สามารถลงโทษได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพและมิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1786/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: ปลอมแปลงเอกสารเพื่อลักทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษและวินิจฉัยการรอการลงโทษ
จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกทำปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ร่วมแล้วนำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปให้ อ. ลงลายมือชื่อเป็นพยาน และไปแสดงแก่พนักงานบริษัท ท. เพื่อขอเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตของโจทก์ร่วม เมื่อบริษัท ท. ออกเช็คจำนวน 33,067 บาท เพื่อเป็นค่าเวนคืนให้แก่จำเลยที่ 2 กับพวก จำเลยที่ 2 กับพวกนำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ร่วม แล้วลักเงินของโจทก์ร่วมโดยใช้บัตรกดเงินอัตโนมัติ และเลขรหัสของโจทก์ร่วมเบิกเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติไปจำนวน 33,000 บาท เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อจะให้ได้เงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นหลัก ซึ่งแม้การกระทำจะเป็นขั้นตอนต่างกัน และโจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อๆ แยกต่างหากจากกัน แต่ก็เกิดจากเจตนาอันเดียวกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าจากไม้เบสบอล ศาลพิจารณาจากบาดแผลร้ายแรง เจตนา และการชดเชยความเสียหาย
ผู้เสียหายถูกไม้เบสบอลตีจนหมดสติไปทันทีในที่เกิดเหตุและต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 2 เดือน โดยอาการไม่ดีขั้น ต้องให้อาหารเหลวทางจมูกและพูดจาไม่ได้ ขณะที่ผู้เสียหายมาเบิกความเป็นระยะเวลาหลังเกิดเหตุ 1 ปีเศษ ผู้เสียหายต้องนั่งรถเข็นไม่สามารถยืนได้ พูดแต่ละคำด้วยความยากลำบาก แสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยที่ 2 ใช้ไม้เบสบอลยาวประมาณ 1 เมตร ตีที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างแรง แม้ตีเพียงครั้งเดียวก็แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มุ่งหมายจะให้เสียผู้เสียถึงแก่ความตาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวต่อเนื่อง: กระทำชำเราโทรมเด็กหญิงหลายครั้ง ความผิดต่อเนื่องในวาระเดียวกัน
หลังจากจำเลยกับพวกกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงที่ขนำที่เกิดเหตุครั้งแรกแล้ว จำเลยกับพวกยังคงควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้โดยพาผู้เสียหายไปที่ขนำอีกแห่งหนึ่งแล้วร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงในครั้งต่อไปถือว่าผู้เสียหายยังไม่หลุดพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวก ดังนั้น การกระทำชำเราของจำเลยกับพวกอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงทั้งสองครั้งจึงต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่ในวาระเดียวกัน โดยเจตนาเดิมไม่ขาดตอนจากกันจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามป.อ. มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามฆ่าจากใช้อาวุธปืนยิง แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลพิพากษาผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้ ยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า เมื่อจำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล โดยผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามฆ่า ร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
การที่ผู้เสียหายพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเบิกความต่อศาล ครั้นเมื่อมาเบิกความกลับระบุว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่คนร้าย อันขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่ให้การยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย จึงเชื่อว่าเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ ชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การตั้งแต่วันเกิดเหตุยังไม่มีเวลาไตร่ตรองหาเหตุผลมาช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มายังสถานีตำรวจ ผู้เสียหายก็ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายตั้งแต่วันเกิดเหตุนั้นเอง คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายจึงน่าเชื่อถือมากกว่าคำเบิกความชั้นศาล
โจทก์ฎีกาเพียงว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสองในบางข้อหานั้น โจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวมิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพื่อให้เห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
of 177