คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 83

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,763 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6984/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมข่มขืนโทรมหญิง แม้ไม่ได้ลงมือจับยึดเหยื่อโดยตรง ก็ถือเป็นตัวการ
จำเลยพาผู้เสียหายและ ส. คนรักผู้เสียหายไปยังกระท่อมที่เกิดเหตุ ต่อมา ส. กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีจึงคิด จะกลับ ขณะที่ ส. กำลังติดเครื่องรถจักรยานยนต์และผู้เสียหายจะนั่งซ้อนท้าย จำเลยได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหาย ลากลงมาและกอดปล้ำผู้เสียหาย จากนั้นมี ต. และ ช. เข้ามาจับแขนขาผู้เสียหายพาไปที่แคร่ข้ากระท่อมแล้วช่วยกันถอดกางเกงผู้เสียหาย ส. จะเข้าไปช่วยเหลือแต่ถูก ช. ขัดขวาง ต. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรกโดยมี ช. ช่วยจับแขนขาผู้เสียหาย ระหว่างนั้นจำเลยซึ่งอยู่บริเวณแคร่ได้ตะโกนบอกให้ จ. ไปตามหา ส. ซึ่งหนีออกไปหา คนช่วยเหลือแล้วจำเลยและ จ. วิ่งออกไปเพื่อหวังสะกัดกั้นมิให้ ส. ไปร้องขอความช่วยเหลือ หลังจาก ต. ข่มขืน กระทำชำเราเสร็จแล้ว ช. ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนต่อไป ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้ช่วยจับแขนขาผู้เสียหายระหว่าง ต. หรือ ช. ข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวนับได้ว่าเป็นตัวการในการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. ฆ่าโดยเจตนา: การประเมินความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายกับผู้เสียหายหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกประกอบกับบาดแผลที่ผู้ตายกับผู้เสียหายได้รับ ผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองถูกทำลายอย่างรุนแรง มีบาดแผลฉีกขาดที่หนังศีรษะด้านซ้ายและที่กรามซ้าย หน้าผากด้านขวาบวมช้ำมีเลือดออกจากจมูกและหูทั้งสองข้างบาดแผลฉีกขาดและถลอกที่แขนซ้ายและเท้าขวา สมองช้ำอย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายจนผู้ตายฟุบคว่ำหน้าทันที ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายอย่างแรงและย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้สมองซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถูกทำลายและทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุรุนแรงที่จะต้องฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดหลังศีรษะด้านซ้ายก็ไม่ได้ความชัดเจนว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ทำร้าย ซึ่งอาจเป็นบาดแผลที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ได้ จำเลยที่ 1มิได้มีเจตนาร่วมในการกระทำส่วนนี้ด้วย คงมีเจตนาเพียงร่วมทำร้ายร่างกายผู้ตายเมื่อการร่วมทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับพวกใช้โซ่เหล็กฟาดหลายครั้งใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะและใช้กำลังประทุษร้าย เมื่อพิจารณาจากลักษณะของบาดแผลประกอบความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายว่ารักษาภายใน 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนแสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายไม่ร้ายแรงจนถึงกับเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกต่อผู้เสียหายจึงเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6837/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกภาษี: กรรมการร่วมกระทำผิดกับนิติบุคคล ต้องรับผิดตามกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (7), 86/13, 77/1 ป.อ. มาตรา 83 เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน และเป็นผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมในนามของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 อันจะต้องรับผิดตาม ป.อ. มาตรา 83 อยู่แล้ว กรณีจึงไม่ต้องอาศัยความในบทบัญญัติมาตรา 90/5 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นบทสันนิษฐานให้กรรมการหรือผู้แทนนิติบุคคล ต้องรับโทษฐานนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6837/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ใบกำกับภาษีปลอมเพื่อเครดิตภาษี: กรรมการมีส่วนร่วมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้นำใบกำกับภาษีปลอมมาใช้เป็นหลักฐานในการเครดิตภาษีจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนและเป็นผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอมในนามของจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำผิดอันจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อยู่แล้ว กรณีไม่จำต้องอาศัยความในมาตรา 90/5 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นบทสันนิษฐานให้กรรมการหรือผู้แทนนิติบุคคลต้องรับโทษฐานนั้นด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6355/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมข่มขืนโทรมหญิง พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร ศาลลดโทษตามคำให้การชั้นสอบสวน
การที่จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาผู้เสียหายไปบ้านเกิดเหตุเพื่อให้จำเลยที่ 1 กับพวกซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราพฤติการณ์มีลักษณะเป็นการคบคิดกันมาก่อน และในขณะที่จำเลยที่ 1กับพวกกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 2 ก็อยู่ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ในห้องที่เกิดเหตุนั้นด้วยโดยตลอด แม้จำเลยที่ 2มิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2ก็ถือว่าเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กับพวกในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารนั้น เมื่อจำเลยที่ 2กับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร และพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรทางเพศ ก็เป็นความผิดสำเร็จฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารกรรมหนึ่งแล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหลังจากนั้นโดยจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมด้วย จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง ซึ่งต่างกรรมต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยที่ 2กับพวกจึงเป็นความผิดหลายกรรม
ในความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองหนักเกินไปย่อมกำหนดโทษจำเลยทั้งสองเสียใหม่ให้เบาลง เพื่อให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ฎีกาแต่จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา แต่การกระทำความผิดข้อหานี้ร่วมกันเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้โทษตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบกับมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6169/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์ด้วยความรุนแรงและการแก้ไขโทษฐานพาอาวุธ ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้อง
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ โดยมีจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้าย แล้วแซงเข้าประกบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายสุดใช้เท้าถีบหน้าอกผู้เสียหายรถเสียหลักล้มลง ผู้เสียหายถูกรถจักรยานยนต์ล้มทับขาได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 หยุดรถ จำเลยที่ 3 ลงจากรถถือมีดปลายแหลมเดินเข้าไปหาผู้เสียหายแล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายสวมใส่อยู่ขาดติดมือไปได้บางส่วน หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รออยู่หลบหนีไปด้วยกัน เมื่อจำเลยที่ 3 มีอาวุธมีดติดตัวไปด้วยในการปล้นทรัพย์จำเลยทั้งสามจึงต้องมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง และลงโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 340 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 และจำเลยที่ 3 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 อีกกระทงหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายยาเสพติดยังไม่สำเร็จเป็นความผิดพยายามจำหน่าย แม้มีการชำระเงินแล้ว
จำเลยทั้งสองตกลงจะขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด ให้แก่ ส. ในราคา 150 บาท และรับเงินค่า เมทแอมเฟตามีนจาก ส. ไว้แล้ว แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังใช้ไขควงคลายน็อตยึดฝาครอบไฟท้ายรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่ในหลอดกาแฟจำนวน 20 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ เพื่อจะนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด ออกมามอบให้แก่ ส. ก็ถูกสิบตำรวจโท จ. กับพวกจับกุมเสียก่อน โดยขณะนั้นจำเลยทั้งสองยังมิได้แยกเมทแอมเฟตา-มีนจำนวน 1 เม็ด ออกจากหลอดกาแฟมาส่งมอบให้แก่ ส. การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยกับ ส. จึงยัง ไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด เท่านั้น และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5794/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเข้าร่วมการกระทำผิดค้ายาเสพติด แม้ไม่ได้ครอบครองยาเสพติดโดยตรง ก็ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางนับแต่การที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ไปพบตำรวจที่ปลอมตัวเป็นผู้ซื้อที่จุดนัดพบ เมื่อตำรวจขอให้จำเลยที่ 1 ไปส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้ที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ก็ได้ร่วมเดินทางตามไปที่บ้านดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่เข้าไปอยู่ในบ้าน เมื่อจำเลยที่ 1นำเมทแอมเฟตามีนออกส่งมอบให้ตำรวจตรวจนับดูว่าครบจำนวนที่จะซื้อขายกันหรือไม่จำเลยที่ 3 ก็ได้นั่งล้อมวงดูอยู่ด้วย และขณะตำรวจนับไปได้ 4 ถึง 5 เม็ดจำเลยที่ 3 ยังพูดรับรองว่าไม่ต้องนับหรอกของที่เอามาเต็มจำนวน แสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่า จำเลยที่ 3 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตั้งแต่ต้น แม้จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวด้วยตนเองก็รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5794/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาและพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิดค้ายาเสพติด แม้ไม่ได้ครอบครองเองก็ผิดได้
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และพฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางนับแต่การที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพบนายดาบตำรวจ พ. กับพวกซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนที่จุดนัดพบ เมื่อนายดาบตำรวจ พ. ขอให้จำเลยที่ 1 ไปส่งมอบเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ก็ได้ร่วมเดินทางตามไปด้วย และขณะที่จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนออกมาส่งมอบให้นายดาบตำรวจ พ. ตรวจนับ จำเลยที่ 3 ก็ได้นั่งล้อมวงดูอยู่ด้วย และขณะนายดาบตำรวจ พ. นับไปได้ 4 ถึง 5 เม็ด จำเลยที่ 3 ยังพูดรับรองว่าไม่ต้องนับหรอก ของที่เอามาเต็มจำนวน 200 เม็ด เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่า จำเลยที่ 3 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตั้งแต่ต้น แม้จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวด้วยตนเองก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5785/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกและการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจ: ศาลฎีกาวินิจฉัยการใช้ดุลพินิจโดยสุจริตและการร่วมกระทำความผิด
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุไปที่ห้องที่โจทก์เช่าเพื่อเป็นพยานรู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ไปฝากเก็บไว้ที่สถานีตำรวจท้องที่ อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยสุจริตในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน โดยสำคัญผิดคิดว่ามีอำนาจที่จะกระทำได้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีเจตนากระทำความผิดฐานบุกรุกโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามมาตรา 362 เท่านั้น
of 177