พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,763 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลคดีเด็กและเยาวชนในคดีปล้นทรัพย์ของจำเลยอายุเกิน 16 ปี และการลดโทษในคดีอาญา
พระราชบัญญัติ ญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494มาตรา 8(1) กำหนดให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจเช่นเดียวกับศาลจังหวัดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่าเยาวชนซึ่งอายุเกินสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดในเหตุฉกรรจ์บางประเภทตามที่ระบุไว้รวมทั้งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340จำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์และกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้จะกระทำความผิดในท้องที่ที่มีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตาม เมื่อเป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ศาลอาญาธนบุรีจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ จำเลยที่ 5 ร่วมกับพวกอีก 4 คน พากันขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารขณะที่พวกจำเลยทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่จำเลยที่ 5 ยืนโหนบันไดรถบังไม่ให้คนอื่นเห็นการปล้นทรัพย์ที่พวกจำเลยกระทำเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5 จึงเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ การกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย สำหรับความผิดที่ร่วมกันเป็นตัวการปล้นทรัพย์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลยที่ฎีกา และให้มีผลไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1299/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษและมาตรการกำกับดูแลเยาวชนกระทำผิดอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 83,297 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม มาตรา 75 ลงโทษจำคุก 6 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จัดการแก่จำเลยตาม มาตรา 74 (2) โดยมอบตัวให้บิดาจำเลยเป็นผู้ปกครองดูแลระมัดระวังมิให้จำเลยก่อเหตุร้ายหรือกระทำผิดใด ๆ ขึ้นอีกภายในกำหนด 3 ปี พร้อมกับวางเงื่อนไขคุมประพฤติ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1299/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน: ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจำคุกเป็นมาตรการดูแลความประพฤติโดยผู้ปกครอง และจำเลยไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,297 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม มาตรา 75 ลงโทษจำคุก6 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จัดการแก่จำเลยตาม มาตรา 74(2) โดยมอบตัวให้บิดาจำเลยเป็นผู้ปกครองดูแลระมัดระวังมิให้จำเลยก่อเหตุร้ายหรือกระทำผิดใด ๆ ขึ้นอีกภายในกำหนด 3 ปี พร้อมกับวางเงื่อนไขคุมประพฤติ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญา: รายละเอียดการกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องระบุในคำฟ้อง หากโจทก์บรรยายการกระทำความผิดให้จำเลยเข้าใจได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดย จับแขนผู้เสียหายไว้ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เป็นคำฟ้อง ที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิด พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนที่ จำเลยทั้งสองร่วมกันประทุษร้ายโดยจำเลยคนใดเป็นผู้จับแขนข้างใดจำเลยร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จำเลยคนใดทำหน้าที่อะไรนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญา: รายละเอียดการกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องระบุในคำฟ้อง เพียงแต่ต้องให้จำเลยเข้าใจข้อหา
คำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยจับแขนผู้เสียหายไว้ ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 2เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยจำเลยคนใดเป็นผู้จับแขนข้างใด จำเลยร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จำเลยคนใดทำหน้าที่อะไรนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้อง เป็นคำฟ้องที่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของตัวการร่วมในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของพวก
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยใช้มีดฟันข้อมือได้รับอันตรายสาหัส แต่จำเลยเพียงชกต่อยผู้เสียหายเท่านั้นจึงลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 295 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิด ขอให้ยกฟ้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้มมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ เพราะเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้มมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ เพราะเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาในความผิดร่วมกระทำ ผู้ร่วมกระทำผิดต้องรับผิดต่อผลการกระทำทั้งหมด แม้ไม่มีเจตนา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยใช้มีดฟันข้อมือได้รับอันตรายสาหัส แต่จำเลยเพียงชกต่อยผู้เสียหายเท่านั้น จึงลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิด ขอให้ยกฟ้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้ม มิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตามจำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ เพราะเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมในความผิดอาญา: การกระทำของพวกต้องรับผิดชอบร่วมกัน แม้ผู้กระทำหลักไม่ได้เจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิด คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้องข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่า ไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิด ขอให้ยกฟ้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แม้ในการร่วมกระทำผิด จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้ม มิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาของผู้ร่วมกระทำผิด กรณีพวกกระทำผิดร้ายแรงกว่า แม้ผู้กระทำผิดเองไม่มีเจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 295 โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิด คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานสนับสนุนการฆ่าผู้อื่น แม้ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 2 นัด โดยมีเจตนาฆ่าจำเลยที่ 2 เข้าล็อกคอและจับแขนผู้ตายหลังจากที่จำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้ตาย 1 นัด แล้วผู้ตายสลัดหลุดแล้วล้มลง จึงถูกจำเลยที่ 1 จ่อยิงอีก 1 นัด โดยที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายมาก่อน การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1ในการยิงผู้ตายนัดที่ 2 เท่านั้น จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1