คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 83

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,763 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฉ้อโกง, เอกสารไม่สมบูรณ์ไม่เป็นเอกสารสิทธิปลอม, เจตนาใช้เอกสารปลอมเป็นรายกรรม, สามีภริยาไม่ได้หมายความว่ารู้เห็นผิดด้วยกัน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่ก่อนวันที่ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ทั้งบันทึกคำร้องทุกข์ก็ปรากฏว่าโจทก์ร้องทุกข์เมื่อเกิน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ในคำขอกู้เงินกรอกข้อความไว้แต่เพียงชื่อตัว ชื่อสกุล สังกัดอำเภอ และลายมือชื่อเท่านั้น มิได้กรอกข้อความจำนวนเงินที่ขอกู้ ในหนังสือกู้เงินก็มีเพียงลายมือชื่อผู้กู้ มิได้กรอกจำนวนเงินที่ขอกู้ และในใบมอบฉันทะก็มีเพียงลายมือชื่อผู้มอบฉันทะเท่านั้นมิได้กรอกข้อความว่ามอบฉันทะให้ผู้ใด จึงเป็นเอกสารที่ข้อความยังไม่สมบูรณ์ มิใช่เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลงโอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ผู้ใช้เอกสารดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม การที่จำเลยที่ 2 ใช้เอกสารปลอมแต่ละชุดต่างหากจากกันเพื่อหลอกเอาเงินจากโจทก์ 9 ครั้ง ต่างวันเวลากันนั้น เป็นการมีเจตนาใช้เอกสารปลอมเพื่อหลอกเอาเงินจากโจทก์เป็นรายครั้ง จึงเป็นความผิด 9 กรรมต่างกัน แม้จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันก็ตาม ก็มิใช่เหตุแสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นกับจำเลยที่ 2 ทุกกรณี เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอม จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม: การกระทำความผิดต่างกรรมกัน
จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็คของโจทก์ร่วมไปให้จำเลยที่ 1กรอกวันที่ จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมเป็นผู้สั่งจ่ายลงในแบบพิมพ์เช็คดังกล่าว โดยจำเลยที่ 2 นำสำเนาภาพถ่ายเช็คที่มีลายมือชื่อโจทก์ร่วมให้จำเลยที่ 1 หัดปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมก่อนหลังจากปลอมเช็คแล้วจำเลยที่ 2 ได้พาจำเลยที่ 1ไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินเมื่อเบิกเงินได้แล้วจำเลยที่ 2 ได้เตรียมรถแท็กซี่รออยู่และพากันกลับด้วยกัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็ค แล้วปลอมเช็คและใช้เช็คปลอมดังกล่าว มีเจตนาแยกต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นความผิดต่างกรรมกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมแปลงและใช้เช็คปลอม: การกระทำเป็นความผิดต่างกรรม
จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็คของโจทก์ร่วมไปให้จำเลยที่ 1 กรอกรายการและลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค โดยจำเลยที่ 2 นำสำเนาภาพถ่ายเช็คที่มีลายมือชื่อของโจทก์ร่วมไปให้จำเลยที่ 1 หัดปลอม หลังจากปลอมเช็คแล้วจำเลยที่ 2 ได้พาจำเลยที่ 1 ไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงิน เมื่อเบิกเงินได้แล้วจำเลยที่ 2 ได้เตรียมรถแท็กซี่รออยู่และพากันกลับด้วยกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ปลอมเช็คและใช้เช็คปลอม
การที่จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็ค แล้วปลอมเช็คและใช้เช็คปลอมดังกล่าวเห็นได้ว่ามีเจตนาแยกต่างหากจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์ vs. วิ่งราวทรัพย์ ความผิดฐานปล้นทรัพย์ต้องมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ร่วมกัน การกระทำของแต่ละคนอาจเข้าข่ายความผิดต่างกัน
ผู้เสียหายทั้งสองเป็นนักศึกษาวิทยาลัย ท. นั่งรถยนต์โดยสารประจำทางมาด้วยกันที่ใกล้บันไดรถ ขณะรถติดสัญญาณจราจรไฟสีแดงจำเลยที่ 3 วิ่งเข้ามาถามผู้เสียหายทั้งสองว่าเป็นนักศึกษาวิทยาลัยท.หรือไม่ขณะเดียวกันจำเลยที่2วิ่งขึ้นไปบนรถใช้มีดสะปาต้าฟันแขนซ้ายของผู้เสียหายที่ 1 บาดเจ็บ และใช้มีดดังกล่าวจี้เอาเสื้อฝึกงาน 1 ตัว นาฬิกาข้อมือ 1 เรือนไป ส่วนพวกของจำเลยทั้งสามขึ้นไปล้วงกระเป๋าใส่เงิน 1 ใบ พร้อมเงินสด 10 บาทไปและจำเลยที่ 1 ขึ้นไปกระชากสร้อยคอทองคำ 1 เส้นจากคอผู้เสียหายที่ 2แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 กระทำต่อผู้เสียหายคราวเดียวกัน แต่ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกไม่ได้สมรู้ร่วมคิดอันมีลักษณะประสงค์ต่อทรัพย์ผู้เสียหายเพียงแต่พวกของจำเลยทั้งสามคนหนึ่งชวนให้ไปตีกับพวกนักศึกษาวิทยาลัย ท. ลักษณะที่จำเลยที่ 3แยกไปสอบถามผู้เสียหายทั้งสองน่าจะเป็นความคึกคะนองและพาล หาเรื่องหาใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายจำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอทองคำผู้เสียหายที่ 2 เป็นลักษณะที่ถือโอกาสเป็นส่วนตัวลำพังผู้เดียว เจตนากระทำความผิดดังกล่าวการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 336 วรรคแรก พวกของจำเลยทั้งสามถือโอกาสขณะนั้นเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 ไปโดยพลการ จำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่ได้สมรู้ร่วมคิดจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันบุกรุกทำร้ายร่างกาย: การสมคบแบ่งหน้าที่และรอการลงโทษ
จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ปิกอัพมาจอดที่หน้าบ้าน น. แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.น้องภริยาจำเลยที่ 1 ลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้าน น. ไล่ตีทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ แม้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เพียงแต่ถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2ร่วมไปกับจำเลยอื่นและพวกแล้วถือมีดกับปืนคอยป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาช่วยในขณะที่จำเลยอื่นและพวกไล่ตีทำร้ายผู้เสียหาย เช่นนี้พฤติการณ์ส่อแสดงว่า จำเลยที่ 2 พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในขณะที่จำเลยอื่นและพวกกระทำผิดดังกล่าว มีลักษณะเป็นการสมคบแบ่งหน้าที่ร่วมกันกระทำ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยอื่นและพวกบุกรุกเข้าไปในเคหสถานและทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,365(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 364,83

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันปล้นทรัพย์: พฤติการณ์เป็นตัวการร่วม แม้จะอ้างเหตุผลอื่น
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตบศรีษะ ผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 4ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายให้นั่งกับพื้น เมื่อเก็บอาวุธปืนแล้วได้นำ ผู้เสียหายไปขึ้นรถยนต์ จำเลยที่ 3 เป็นคนขับ จำเลยที่ 4 นั่งหน้า จำเลยที่ 1 และที่ 2 นั่งประกบผู้เสียหายซึ่งนั่งกลางที่เบาะหลัง แล้วขับรถไปด้วยกันเมื่อทำร้ายผู้เสียหายจนได้เงินและปล่อย ผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสี่ก็หลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าจำเลย ทั้งสี่เป็นตัวการร่วมในการปล้นทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตาย แต่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง ลงโทษทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 ร้องสั่งให้จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายเป็นการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิด เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ด้วย ศาลจึงมีอำนาจลงโทษฐานผู้สนับสนุนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันขนส่งยาเสพติด การรับสารภาพ และพยานหลักฐานสนับสนุน
จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่ารถคันที่ใช้บรรทุกกัญชา และร่วมโดยสารมาในรถตั้งแต่ขับออกจากกรุงเทพมหานคร การขนกัญชาเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะขนกันเป็นจำนวนมากด้วยย่อมมีโทษสูง ตามธรรมดาผู้กระทำผิดย่อมจะต้องปกปิดเป็นความลับ ถ้า จำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ผู้กระทำความผิดจะกล้าให้จำเลยโดยสารมาในรถด้วย พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5831/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกันฆ่า, พยายามฆ่า, ทำร้ายร่างกาย และความผิดฐานพาอาวุธปืน
จำเลยที่ 3 มีเรื่องชกต่อยกับ ส. ก่อน แล้วจำเลยที่ 3 พาพวกคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มาดักรอผู้เสียหายกับผู้ตาย แล้วร่วมกันยิงและทำร้ายทันที โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยิงผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ยิง ส.กับจำเลยที่4ใช้ไม้ตีห. แม้จำเลยที่ 3จะมิได้มีอาวุธติดตัวมาและลงมือกระทำผิดด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นการรวมกำลังให้แก่พวกจำเลยอื่น พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ เมื่อเกิดเหตุแล้วก็หนีไปด้วยกัน ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด ในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ยิงผู้ตายกับผู้เสียหายไม่มีหมายเลขทะเบียน ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนนั้นไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นไม่ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับผู้เสียหายแล้วพาอาวุธปืนนั้นไปจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5728/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิด
ก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน จำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตผู้ตายขึงสายไฟฟ้าผ่านที่นาผู้ตายไปยังที่นาจำเลยทั้งสองเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าในการดักจับหนู เฉพาะเวลากลางคืนระหว่าง19 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกา ดังนั้น จึงต้องมีการต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสายไฟฟ้าเมื่อถึงเวลาจะใช้และปลดสายที่ต่อกับกระแสไฟฟ้าออกเมื่อเลิกใช้ในเวลากลางวัน เหตุคดีนี้เกิดเวลากลางวันระหว่างเวลาประมาณ 9 นาฬิกาถึง 15 นาฬิกา ห่างจากวันเริ่มขึงสายไฟฟ้าดักจับหนูครั้งแรกประมาณ 1 เดือน เชื่อว่าได้มีการปลดสายที่ต่อกับกระแสไฟฟ้าออกและต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่สายไฟฟ้าดังกล่าวหมุนเวียนมาแล้วหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายที่มีผู้ต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่สายไฟฟ้าแล้วเกิดเหตุขึ้นนั้น ไม่มีพยานรู้เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำหรือเห็นจำเลยที่ 1 ได้กระทำการอย่างใดอันจะถือได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาทปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสายไฟฟ้า เป็นเหตุให้ผู้ตายถูกกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยผ่านดูดร่างกายจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
of 177