พบผลลัพธ์ทั้งหมด 90 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างบทมาตราความผิดในฟ้องอาญา หากโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตรา ศาลไม่สามารถลงโทษตามบทมาตราที่ไม่ได้อ้างได้ แม้มีพยานหลักฐาน
ถึงแม้ในคำบรรยายฟ้องอาญา โจทก์จะได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดแล้วก็ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6)ก็ยังมีความประสงค์ให้โจทก์อ้างบทมาตราแห่งความผิดไว้ในท้ายฟ้องด้วย
เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราแห่งความผิดไว้ในฟ้องเพราะความพลั้งเผลอ จะวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ หาได้ไม่ และดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์จะสืบสมศาลก็ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ไม่ได้อ้างไม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1)
เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราแห่งความผิดไว้ในฟ้องเพราะความพลั้งเผลอ จะวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ หาได้ไม่ และดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์จะสืบสมศาลก็ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ไม่ได้อ้างไม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างบทมาตราความผิดในฟ้องอาญา หากโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราในท้ายฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงสอดคล้อง ศาลก็ลงโทษตามบทนั้นไม่ได้
ถึงแม้ในคำบรรยายฟ้องอาญา โจทก์จะได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดแล้วก็ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 158 (6) ก็ยังมีความประสงค์ให้โจทก์อ้างบทมาตราแห่งความผิดไว้ในท้ายฟ้องด้วย
เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราแห่งความผิดไว้ในฟ้องเพราะความพลั้งเผลอ จะวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตาม ป.วิ.อาญา ม.192 วรรค 4 หาได้ไม่ และดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์จะสืบสม ศาลก็ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ไม่ได้อ้างไม่ได้.
( ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1 )
เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราแห่งความผิดไว้ในฟ้องเพราะความพลั้งเผลอ จะวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตาม ป.วิ.อาญา ม.192 วรรค 4 หาได้ไม่ และดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์จะสืบสม ศาลก็ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ไม่ได้อ้างไม่ได้.
( ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยไล่ต้อนโคที่ถูกลักมา ไม่ถือเป็นความร่วมมือในการลักทรัพย์
คนร้ายลักโคจูงมาระหว่างทางพบจำเลย จำเลยช่วยคนร้ายไล่ต้อนโคโดยรู้ว่าเป็นโคของผู้อื่นและเมื่อพวกเจ้าทรัพย์มาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกัน ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้สมคบหรือสมรู้กับคนร้ายในการลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1947/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จากการยิงโคและการชำแหละเนื้อโค ความรับผิดของผู้ร่วมกระทำ
ใช้ปืนยิงโคของผู้อื่นในตอนบ่ายแล้วตอนเย็นจึงมาชำแหละเอาเนื้อโคย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ส่วนผู้ที่มาร่วมชำแหละเนื้อโคด้วยในตอนหลังยังไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุกรุกเคหสถาน แม้มุ่งลวนลาม ไม่ใช่เจตนาลักทรัพย์
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจเข้าไปในเคหะสถานที่อยู่อาศัยของนางสินโดยเจ้าของมิได้อนุญาตให้เข้าไปแล้วลักเอาสร้อยคอ 1 เส้นราคา 600 บาทของนางสินไปโดยใช้กริยาฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้า ขอให้ลงโทษตาม กฎหมายอาญามาตรา 294,297,60
ดังนี้แม้ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมึนเมาสุราแล้วถือวิสาสะเข้าไปลวนลามเจ้าทรัพย์จำเลยไม่มีเถยยะจิตต์คิดจะเอาทรัพย์แต่อย่างใดแต่จำเลยรับว่าได้เข้าไปในเคหะของเจ้าทรัพย์จริงและฟังไม่ได้ว่าเจ้าทรัพย์เรียกจำเลยเข้าไปคุยด้วยก็ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามมาตรา329(2) ได้
ดังนี้แม้ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมึนเมาสุราแล้วถือวิสาสะเข้าไปลวนลามเจ้าทรัพย์จำเลยไม่มีเถยยะจิตต์คิดจะเอาทรัพย์แต่อย่างใดแต่จำเลยรับว่าได้เข้าไปในเคหะของเจ้าทรัพย์จริงและฟังไม่ได้ว่าเจ้าทรัพย์เรียกจำเลยเข้าไปคุยด้วยก็ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามมาตรา329(2) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุกรุกเคหะสถานและการลดโทษจากบาดเจ็บและรับสารภาพ
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจเข้าไปในเคหะสถานที่อยู่อาศัยของนางสินโดยเจ้าของมิได้อนุญาตให้เข้าไปแล้วลักเอาสร้อยคอ 1 เส้นราคา 600 บาทของนางสินไปโดยใช้กริยาฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา294,297,60
ดังนี้แม้ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมึนเมาสุราแล้วถือวิสาสะเข้าไปลวนลามเจ้าทรัพย์จำเลยไม่มีเถยยะจิตต์คิดจะเอาทรัพย์แต่อย่างใดแต่จำเลยรับว่าได้เข้าไปในเคหะของเจ้าทรัพย์จริงและฟังไม่ได้ว่าเจ้าทรัพย์เรียกจำเลยเข้าไปคุยด้วย ก็ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามมาตรา 329(2) ได้
ดังนี้แม้ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมึนเมาสุราแล้วถือวิสาสะเข้าไปลวนลามเจ้าทรัพย์จำเลยไม่มีเถยยะจิตต์คิดจะเอาทรัพย์แต่อย่างใดแต่จำเลยรับว่าได้เข้าไปในเคหะของเจ้าทรัพย์จริงและฟังไม่ได้ว่าเจ้าทรัพย์เรียกจำเลยเข้าไปคุยด้วย ก็ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามมาตรา 329(2) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1728/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานทางอ้อมพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์ และการขาดการร้องทุกข์ทำให้ฟ้องฐานฉ้อโกงไม่ได้
ที่จะมีความผิดฐานลักทรัพย์นั้นแม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายเข้าไปลักกระบือ แต่ได้ความว่ากระบือหายเวลาก่อนแจ้ง กำนันจับจำเลยได้ขณะขี่กระบือในวันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย จำเลยก็รับว่าไม่รู้จักเจ้าทรัพย์ แม้บ้านก็ไม่รู้จัก ครั้นจำเลยได้ประกันตัวไปจากอำเภอเพื่อนำหลักฐานมาแสดง จำเลยก็ตรงไปหาเจ้าทรัพย์ถูก ซ้ำยังหลอกลวงว่าจะไปไถ่กระบือคืนให้ให้เจ้าทรัพย์มอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณไป พฤติการณ์ดังนี้เป็นเหตุแวดล้อมให้เห็นว่าจำเลยนั่นเองเป็นผู้เข้าไปลักกระบือรายนี้
อันความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ในฟ้องจะกล่าวว่า เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานสอบสวนจัดการดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดีแต่เวลาโจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีในความผิดฐานนี้เลยทั้งหลักฐานการร้องทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจะฟังว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงยังไม่ได้
อันความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ในฟ้องจะกล่าวว่า เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานสอบสวนจัดการดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดีแต่เวลาโจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีในความผิดฐานนี้เลยทั้งหลักฐานการร้องทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจะฟังว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงยังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1728/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานแวดล้อมบ่งชี้การลักทรัพย์ & การขาดการร้องทุกข์ในคดีฉ้อโกง
ที่จะมีความผิดฐานลักทรัพย์นั้นแม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายเข้าไปลักกระบือ แต่ได้ความว่ากระบือหายเวลาก่อนแจ้ง กำนันจับจำเลยได้ขณะขี่กระบือในวันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย จำเลยก็รับว่าไม่รู้จักเจ้าทรัพย์ แม้บ้านก็ไม่รู้จัก ครั้นจำเลยได้ประกันตัวไปจากอำเภอเพื่อนำหลักฐานมาแสดง จำเลยก็ตรงไปหาเจ้าทรัพย์ถูก ซ้ำยังหลอกลวงว่าจะไปไถ่กระบือคืนให้ให้เจ้าทรัพย์มอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณไป พฤติการณ์ดังนี้เป็นเหตุแวดล้อมให้เห็นว่าจำเลยนั่นเองเป็นผู้เข้าไปลักกระบือรายนี้
อันความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ในฟ้องจะกล่าวว่า เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานสอบสวนจัดการดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดีแต่เวลาโจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีในความผิดฐานนี้เลยทั้งหลักฐานการร้องทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจะฟังว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงยังไม่ได้
อันความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ในฟ้องจะกล่าวว่า เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานสอบสวนจัดการดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดีแต่เวลาโจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีในความผิดฐานนี้เลยทั้งหลักฐานการร้องทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจะฟังว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงยังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs ลักทรัพย์: การแยกแยะบทบาทและขอบเขตความรับผิดของตัวการร่วม
จำเลยที่ 1 กับอีกคนหนึ่งถือมีดคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งขู่เข็ญจะทำร้ายเจ้าทรัพย์ดังนี้จำเลยที่ 1 มีผิดตามมาตรา 301
ส่วนจำเลยที่ 2,3 เมื่อได้ก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตามมาตรา 294ตอน 2 ประกอบด้วย มาตรา 293 ข้อ 7-11 และ มาตรา 294ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ ลงโทษได้
ส่วนจำเลยที่ 2,3 เมื่อได้ก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตามมาตรา 294ตอน 2 ประกอบด้วย มาตรา 293 ข้อ 7-11 และ มาตรา 294ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ ลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs ลักทรัพย์: การแบ่งแยกความรับผิดของจำเลยตามพฤติการณ์ที่แตกต่างกัน
จำเลยที่ 1 กับอีกคนหนึ่งถือมีดคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งขู่เข็ญจะทำร้ายเจ้าทรัพย์ ดังนี้จำเลยที่ 1 มีผิด ตามมาตรา 301
ส่วนจำเลยที่2,3 เมื่อได้ปืนก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตาม ม. 294 ตอน 2 ประกอบด้วย ม.293 ข้อ 7-11 และ ม.294 ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ลงโทษได้
ส่วนจำเลยที่2,3 เมื่อได้ปืนก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตาม ม. 294 ตอน 2 ประกอบด้วย ม.293 ข้อ 7-11 และ ม.294 ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ลงโทษได้