พบผลลัพธ์ทั้งหมด 306 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาและการแจ้งความเท็จ: จำเลยไม่ได้แจ้งความเท็จ แต่เป็นการเข้าใจสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญากัน โดยจำเลยยอมให้เอาที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ในการนี้โจทก์ตกลงให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน ต่อมาพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อพนักงานโลหกิจว่า จนบัดนี้ โจทก์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองได้ จำเลยจึงขอคัดค้านการอ้างสิทธิของโจทก์โดยจำเลยไม่ยอมให้ใช้ที่ดินของจำเลย ฯลฯ เช่นนี้ แม้ความจริงโจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญากันนั้นไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อความในสัญญามีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจได้ดังคำร้องคัดค้านของจำเลยแล้ว โจทก์จะหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาและแจ้งความเท็จ: จำเลยเข้าใจสัญญาถูกต้องตามเจตนา แม้ข้อความไม่ชัดเจน ไม่ถือเป็นแจ้งความเท็จ
โจทก์จำเลยทำสัญญากัน โดยจำเลยยอมให้เอาที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยื่นคำร้อง ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ในการนี้โจทก์ตกลงให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน ต่อมาพ้นเวลา 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาดังกล่าว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อพนักงานโลหกิจว่า จนบัดนี้ โจทก์ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองได้ จำเลยจึงขอคัดค้านการอ้างสิทธิของโจทก์โดยจำเลยไม่ยอมให้ใช้ที่ดินของจำเลย ฯลฯ เช่นนี้ แม้ความจริงโจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญากันนั้นไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อความในสัญญามีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจได้ดังคำร้องคัดค้านของจำเลยแล้ว โจทก์จะหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแจ้งความเท็จต้องระบุรายละเอียดชัดเจน หากไม่ชัดเจนถือเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยร้องเรียนแจ้งความเท็จจริงต่อเจ้าพนักงาน ถ้าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนและแจ้งแก่เจ้าพนักงานนั้น เท็จอย่างใด และความจริงเป็นฉันใด อันพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้ข้อความในตอนท้ายจะมีกล่าวว่า โดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นข้อความเท็จหรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ก็เป็นข้อความที่กล่าวอย่างเคลือบคลุม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้ว่าเป็นข้อเท็จในข้อใด คำว่า "หรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น" ก็เป็นคำกล่าวอย่างกว้าง ๆ ไม่แน่ชัดว่าเหตุที่ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไม่มีการกระทำหรือว่าเป็นเพราะการกระทำนั้นไม่เป็นผิดอาญา ทั้งมีคำว่า "หรือ" ประกอบอยู่ในฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการไม่ยืนยันให้แน่ชัด ฟ้องโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใด ตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใด ตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์! จำเลยแจ้งความเท็จ-ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดเจน
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยร้องเรียนและแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ถ้าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนและแจ้งแก่เจ้าพนักงานนั้น เท็จอย่างใดและความจริงเป็นฉันใด อันพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้ข้อความในตอนท้ายจะมีกล่าวว่าโดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นข้อความเท็จหรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ก็เป็นข้อความที่กล่าวอย่างเคลือบคลุม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้ว่าเป็นเท็จในข้อใด คำว่า "หรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น" ก็เป็นคำกล่าวอย่างกว้างๆ ไม่แน่ชัดว่าเหตุที่ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไม่มีการกระทำหรือว่าเป็นเพราะการกระทำนั้นไม่เป็นผิดอาญาทั้งมีคำว่า "หรือ" ประกอบอยู่ในฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการไม่ยืนยันให้แน่ชัด ฟ้องโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941-942/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จ vs. แจ้งความเท็จ: ศาลไม่อาจลงโทษฐานแจ้งความเท็จ หากฟ้องฐานฟ้องเท็จแล้ว และการรวมกระทงลงโทษ
จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นเท็จต่อศาล ไม่เป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.158 เพราะการฟ้องเท็จที่จะเป็นผิดตามาตรานี้ ต้องเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในคดีอาญา
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ป.วิ.อาญาม.192 วรรค 3-4
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ป.วิ.อาญาม.192 วรรค 3-4
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941-942/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จ vs. แจ้งความเท็จ, การรวมกระทง, และอำนาจฟ้องในคดีอาญา
จำเลยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อันเป็นเท็จต่อศาล ไม่เป็นผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158 เพราะการฟ้องเท็จที่จะเป็นผิดตามมาตรานี้ ต้องเป็นการกล่าวโทษผู้อื่นในคดีอาญา
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม วรรคสี่
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
เมื่อโจทก์ตั้งใจฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 158 แล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา118 ไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สืบสมตามฟ้อง เป็นแต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม วรรคสี่
เมื่อศาลได้พิจารณาคดีทั้งสองรวมกันและให้รวมกระทงลงโทษจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนับโทษจำเลยทั้ง 2 คดีต่อเนื่องกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2484
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเพื่อเบี่ยงเบนข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการแจ้งความเท็จ
จำเลยถูกจับฐานทำร้ายร่างกาย ในขณะเดียวกันจำเลยได้กล่าวหาว่า ผู้เสียหายเข้าไปลักมะม่วง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานสอบสวนเป็นอีกคดีหนึ่ง ย่อมเป็นผิดตามมาตรา 137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2482
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจจับกุมของเจ้าพนักงานสรรพสามิต: ขอบเขตหน้าที่และการฟ้องอาญา
อำนาจหน้าที่ในการปราบปรามจับกุมผู้ทำผิดตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่มีอยู่แก่กรมการอำเภอที่เป็นนายอำเภอ ปลัดอำเภอ และสมุหบัญชีเท่านั้น หาใช่ทั้งคณะกรมการอำเภอตาม พ.ร.บ.อื่นไม่
เจ้าพนักงานสรรพสามิตต์ไม่มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้ลักลอบเล่นการพะนัน เมื่อไปจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพะนันมาได้แล้วหากจะเรียกร้องเอาสินบนจากผู้ถูกจับกุมโดยสัญญาว่าจะไม่จัดการเอาความผิดต่อไปก็ดี หรือได้รับเงินสินบนแล้วได้งดเว้นไม่รายงานการจับกุมส่งของกลางและตัวผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนเพราะเห็นแก่สินบนนั้นก็ดีก็ไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญา ม.136,137,138
บรรยายฟ้องมาว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมปราบปรามผู้ทำผิดได้เรียกร้องเอาสินบนและรับสินบน ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา 136,137,138 แล้ว จะมาร้องขออ้างให้ลงโทษตามมาตรา 127 ด้วยไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับคำบรรยายฟ้องและขัดกับฟ้อง
เจ้าพนักงานสรรพสามิตต์ไม่มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้ลักลอบเล่นการพะนัน เมื่อไปจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพะนันมาได้แล้วหากจะเรียกร้องเอาสินบนจากผู้ถูกจับกุมโดยสัญญาว่าจะไม่จัดการเอาความผิดต่อไปก็ดี หรือได้รับเงินสินบนแล้วได้งดเว้นไม่รายงานการจับกุมส่งของกลางและตัวผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนเพราะเห็นแก่สินบนนั้นก็ดีก็ไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญา ม.136,137,138
บรรยายฟ้องมาว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมปราบปรามผู้ทำผิดได้เรียกร้องเอาสินบนและรับสินบน ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา 136,137,138 แล้ว จะมาร้องขออ้างให้ลงโทษตามมาตรา 127 ด้วยไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับคำบรรยายฟ้องและขัดกับฟ้อง