คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 132

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 554 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 976/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อยกเว้นสัญญาเช่า: เจตนาขอเช่าต่อทำให้ผู้ให้เช่าสละสิทธิบอกเลิกสัญญา
ทำสัญญาเช่าห้องกันมีกำหนด 3 ปี สัญญาข้อหนึ่งมีว่า "เมื่อผู้ให้เช่าจะต้องการคืนห้องทั้งสองฝ่ายจะต้องบอกให้รู้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนไม่น้อยกว่า 30 วัน" แต่คู่สัญญาก็ได้เขียนสัญญาต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า "เมื่อสิ้นอายุสัญญาฉะบับนี้แล้ว ผู้ให้เช่ายินดีจะทำสัญญาต่อให้แก่ผู้เช่าต่อไปอีกเป็นงวด ๆ จนครบ 10 ปี" ดังนี้ ก็ต้องแปลข้อสัญญาข้อหลังนี้เป็นข้อยกเว้นข้อสัญญาข้อแรกเสียแล้ว โดยผู้ให้เช่ายอมสละสิทธิตามที่เขียนไว้แต่เดิมในข้อแรกนั้นเสียแล้ว ฉะนั้นเมื่อผู้เช่าได้แสดงเจตนาขอเช่าต่อไปแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง แม้ไม่มีการประนีประนอมยอมความ และการสงวนสิทธิแก้ไขค่าเสียหาย
จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถชนกัน ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเลยกลัวจะต้องรับโทษจำคุก จึงขอให้ผู้เสียหายเขียนหนังสือถึงพนักงานอัยการ ผู้เสียหายจึงเขียนหนังสือถึงพนักงานอัยการว่าตนไม่ติดใจจะฟ้องจำเลย ทั้งนี้เพื่อหวังผลให้จำเลยได้รับความปรานีบรรเทาโทษในทางอาญาเท่านั้น หนังสือดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นหนังสือประนีประนอมยอมความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850,851 ผู้เสียหายจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์เมื่อปรากฏในระหว่างพิจารณาคดีว่า อาการป่วยของโจทก์ยังไม่หาย ยังไม่เป็นการแน่นอนลงไปทีเดียวว่าโจทก์จะพิการต่อไปจนตลอดชีวิตหรืออาจหายได้ เช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจสงวนสิทธิไว้ในคำพิพากษาที่จะแก้ไขคำพิพากษาในเรื่องกำหนดค่าเสียหายได้ ภายใน 2 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือไม่ถือเป็นประนีประนอมยอมความ, สงวนสิทธิแก้ไขค่าเสียหายได้
จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษฐานขับรถ โดยประมาท เป็นเหตุให้รถชนกันผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยกลัวจะต้องรับโทษจำคุก จึงขอให้ผู้เสียหายเขียนหนังสือถึงพนักงานอัยการ ผู้เสียหายจึงเขียนหนังสือถึงพนักงานอัยการว่าตนไม่ติดใจจะฟ้องจำเลย ทั้งนี้เพื่อหวังผลให้จำเลยได้รับความปราณีบรรเทาโทษในทางอาญาเท่านั้น หนังสือดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นหนังสือประนีประนอมยอมความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 850, 851 ผู้เสียหายจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นโจทก์ เมื่อปรากฎในระหว่างพิจารณาว่า อาการบ่วยของโจทก์ยังไม่หาย ยังไม่เป็นการแน่นอนลงไปทีเดียวว่าโจทก์จะพิการต่อไปจนตลอดชีวิตหรืออาจหายได้ เช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจสงวนสิทธิไว้ในคำพิพากษาที่จะแก้ไขคำพิพากษาในเรื่องกำหนดค่าเสียหายได้ ภายใน 2 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้มีเงื่อนไขซื้อขายที่ดิน: สิทธิของผู้ให้กู้จำกัดเฉพาะตามสัญญา
สัญญากู้เงินอันมอบที่ดินให้ผู้ให้กู้ครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ย และตามข้อสัญญามีเงื่อนไขด้วยว่าถ้าผู้กู้ประสงค์จะขายที่ดินที่ประกันนั้นแก่ผู้ให้กู้ภายในกำหนด 6 ปี ผู้ให้กู้ยินยอมรับซื้อเป็นเงินจำนวนหนึ่งถ้าพ้นกำหนด 6 ปีแล้ว ผู้กู้ต้องชำระหนี้เงินกู้ให้ผู้ให้กู้จนครบถ้วน หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีการตกลงกันใหม่ ดังนี้เมื่อพ้นกำหนด 6 ปีแล้ว ผู้กู้ไม่ประสงค์จะขายที่ดิน แต่เลือกเอาทางชำระหนี้เงินกู้ได้ผู้ให้กู้จะฟ้องขอให้ผู้กู้ขายที่ดินให้ตนเหมือนสัญญาจะซื้อขายธรรมดา ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนที่ดินตามสัญญา ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของสิทธิ
โจทก์ขายนาให้จำเลยแล้วมีข้อสัญญากันว่า ต่อไปในวันข้างหน้าในระยะครบ 2 ปี เป็นจำนวน พ.ศ. 2493 หรือ 2494 ถ้าโจทก์นำเงินมาซื้อคืนได้ จำเลยจะต้องขายนาคืนให้ นั้นย่อมหมายความว่า โจทก์มีสิทธิซื้อคืนได้ภายในระยะ 2 ปี นับแต่วันทำสัญญากันนั้นเอง สุดแต่จะไปครบ 2 ปี ใน ปี พ.ศ. 2493 หรือ พ.ศ. 2494
โจทก์ฟ้องว่า ได้ไปขอซื้อนาคืนจากจำเลยในต้น พ.ศ. 2494 แต่จำเลยไม่ยอมขายคืนให้ ฯลฯ จำเลยไม่ได้ให้การกล่าวถึงหรือปฏิเสธความข้อนี้ประการใด จึงต้องถือว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงข้อที่โจทก์ฟ้องนี้แล้ว
โจทก์ขายนาให้จำเลยโดยมีข้อสัญญากันว่า โจทก์มีสิทธิขอซื้อคืนได้ภายในกำหนด 2 ปี ครั้นต่อมาโจทก์ได้ขอซื้อคืนภายในระยะเวลาปีอันเป็นระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิขอซื้อคืนได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมขาย ย่อมถือได้ว่า จำเลยผิดสัญญา โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ และโจทก์จะยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปีแล้วก็ได้ เพราะโจทก์ได้ขอซื้อคืนไว้ภายในระยะ 2 ปี แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนที่ดินภายในกำหนดระยะเวลาตามสัญญา แม้ฟ้องหลังหมดกำหนดก็ชอบ
โจทก์ขายนาให้จำเลยแล้วมีข้อสัญญากันว่า ต่อไปในวันข้างหน้าในระยะครบ 2 ปีเป็นจำนวนพ.ศ.2493 หรือ 2494 ถ้าโจทก์นำเงินมาซื้อคืนได้ จำเลยจะต้องขายนาคืนให้ นั้นย่อมหมายความว่า โจทก์มีสิทธิซื้อคืนได้ภายในระยะ 2 ปีนับแต่วันทำสัญญากันนั่นเอง สุดแต่จะไปครบ2 ปี ในปี พ.ศ.2493 หรือ พ.ศ.2494
โจทก์ฟ้องว่า ได้ไปขอซื้อนาคืนจากจำเลยในต้น พ.ศ. 2494 แต่จำเลยไม่ยอมขายคืนให้ ฯลฯ จำเลยไม่ได้ให้การกล่าวถึงหรือปฏิเสธความข้อนี้ประการใด จึงต้องถือว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงข้อที่โจทก์ฟ้องข้อนี้แล้ว
โจทก์ขายนาให้จำเลยโดยมีข้อสัญญากันว่า โจทก์มีสิทธิขอซื้อคืนได้ภายในกำหนด 2 ปี ครั้นต่อมาโจทก์ได้ขอซื้อคืนภายในระยะเวลา 2 ปีอันเป็นระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิขอซื้อคืนได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมขาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้และโจทก์จะยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปีแล้ว ก็ได้เพราะโจทก์ได้ขอซื้อคืนไว้ภายในระยะ 2 ปีแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าอาคาร: การเช่าทั้งหลังคุ้มครองการใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งหมด
การเช่าอาคารนั้นตามปกติวิสัย ก็ย่อมเป็นการเช่าอาคารทั้งหลังมิใช่ว่าการเช่าอาคารนั้น เป็นการเช่ากันเฉพาะส่วนภายในของอาคารเว้นแต่จะมีข้อสัญญาระบุไว้เป็นพิเศษ ฉะนั้นผู้ให้เช่าจึงไม่มีอำนาจที่จะเอาหลังคาตึกเช่านั้นไปให้ผู้อื่นเช่าติดป้ายโฆษณาอีกและถ้าขืนกระทำไป ผู้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายและให้รื้อป้ายโฆษณานั้นไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการเช่าอาคาร: สิทธิผู้เช่าเหนือพื้นที่ภายนอกและหลังคา
การเช่าอาคารนั้นตามปรกติวิสัย ก็ย่อมเป็นการเช่าอาคารนั้น เป็นการเช่ากันเฉพาะส่วนภายในของอาคาร เว้นแต่มีข้อสัญญาระบุไว้เป็นพิเศษ ฉะนั้นผู้ให้เช่าจึงไม่มีอำนาจที่จะเอาหลังคาตึกเช่านั้นไปให้ผู้อื่นเช่าติดป้ายโฆษณาอีก และถ้าขืนกระทำไป ผู้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายและให้รื้อป้ายโฆษณานั้นไปเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอาศัยโดยคำเปรียบเทียบ: สิทธิมีได้แม้ไม่จดทะเบียน ยันกันได้ระหว่างคู่สัญญา
โจทก์จำเลยตกลงกันตามคำเปรียบเทียบของคณะกรมการอำเภอซึ่งมีความว่า 'ให้จำเลยอยู่ในที่(พิพาท) นี้เรื่อยไปแต่จะยกที่ดินให้ใครไม่ได้ส่วนพืชผลก็อาศัยแบ่งกันเก็บกินไป' ดังนี้ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของคู่ความว่า ให้จำเลยมีสิทธิอาศัยอยู่ในที่พิพาทเรื่อยไปจนตลอดชีวิตนั่นเอง และการยอมให้อาศัยเช่นนี้แม้มิได้จดทะเบียน ก็ใช้ยันกันเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351-352/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายและการเรียกค่าเสียหายเมื่อมีการบังคับคดีให้ปฏิบัติตามสัญญา
ตามสัญญาจำซื้อขายใส่ไว้ด้วยว่า ถ้าผู้ขาย ขายที่ดินให้ผู้ซื้อไม่ได้ตามสัญญา ก็ให้ผู้ซื้อเรียกค่าเสียหายอีกหนึ่งเป็นเงิน 2,000 บาท ดังนี้ แม้ผู้ขายจะบิดพลิ้วไม่ยอมขายที่ดินแก่ผู้ซื้อตามสัญญา จนผู้ซื้อต้องฟ้อง ศาลบังคับให้ขายก็ดี ถ้าศาลพิพากษาให้ผู้ขายขายที่ดินให้ผู้ซื้อตามสัญญาแล้ว ศาลก็ไม่ให้ผู้ขายใช้เงิน 2,000 บาท แก่ผู้ซื้อ เพราะถือว่าได้มีการซื้อขายกันตามสัญญาแล้ว
of 56