คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 306

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 25 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158-2160/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการยิง การประเมินพฤติการณ์ และความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ไปจับกุมจำเลย จำเลยยิงโจทก์ที่ 3 ถูกที่ต้นคอ ในขณะที่มีการยื้อแย่งปืนกันโดยจำเลยมิได้มีโอกาสเลือกยิง เมื่อจำเลยยิงโจทก์ที่ 3 ล้มลงแล้ว โจทก์ที่ 3 ไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อสู้กับจำเลย จำเลยมีโอกาสจะยิงโจทก์ที่ 3 อีกเป็นเวลานานแต่จำเลยก็หาได้ยิงโจทก์ที่ 3 ไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ที่ 3 ส่วนที่ จำเลยยิงโจทก์ที่ 2 ปรากฏว่าขณะยิงจำเลยอยู่ใกล้กับโจทก์ที่ 2 และมีโอกาสจะเลือกยิงโจทก์ที่ 2 ตรงไหนก็ได้ แต่จำเลยกลับยิงที่ขาของโจทก์ที่ 2 แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ที่ 2 เพราะหากจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ที่ 2 จำเลยคงยิงที่อวัยวะสำคัญกว่านี้
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 289, 80 เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 และโจทก์ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298 ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 และ 298 ได้.
ฟ้องว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันแต่โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏว่า โจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยฐานทำให้ได้รับอันตรายสาหัสไม่ได้
โจทก์ที่ 3 ถูกยิงต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 12 วัน แล้วไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีก โจทก์ที่ 3 ต้องหยุดทำงานเกือบ 1 เดือนแพทย์ผู้ทำการตรวจบาดแผลโจทก์ที่ 3 ได้ให้ความเห็นว่าบาดแผลหายได้ภายใน 30 วัน ฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ได้รับบาดเจ็บจากการยิงของจำเลยจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158-2160/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์และผลการกระทำ
จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ที่2ที่3ขณะที่โจทก์ที่2ที่3ไปจับกุมจำเลยจำเลยยิงโจทก์ที่3ถูกที่ต้นคอในขณะที่มีการยื้อแย่งปืนกันโดยจำเลยมิได้มีโอกาสเลือกยิงเมื่อจำเลยยิงโจทก์ที่3ล้มลงแล้วโจทก์ที่3ไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อสู้กับจำเลยจำเลยมีโอกาสจะยิงโจทก์ที่3อีกเป็นเวลานานแต่จำเลยก็หาได้ยิงโจทก์ที่3ไม่จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ที่3ส่วนที่จำเลยยิงโจทก์ที่2ปรากฏว่าขณะยิงจำเลยอยู่ใกล้กับโจทก์ที่2และมีโอกาสจะเลือกยิงโจทก์ที่2ตรงไหนก็ได้แต่จำเลยกลับยิงที่ขาของโจทก์ที่2แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ที่2เพราะหากจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ที่2จำเลยคงยิงที่อวัยวะสำคัญกว่านี้. ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,289,80เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ที่2ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา296และโจทก์ที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา298ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา296และ298ได้. ฟ้องว่าโจทก์ที่2ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า20วันหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20วันแต่โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฎว่าโจทก์ที่2ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องลงโทษจำเลยฐานทำให้ได้รับอันตรายสาหัสไม่ได้. โจทก์ที่3ถูกยิงต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล12วันแล้วไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีกโจทก์ที่3ต้องหยุดทำงานเกือบ1เดือนแพทย์ผู้ทำการตรวจบาดแผลโจทก์ที่3ได้ให้ความเห็นว่าบาดแผลหายได้ภายใน30วันฟังได้ว่าโจทก์ที่3ได้รับบาดเจ็บจากการยิงของจำเลยจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20วัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าทารกแรกเกิด: การกระทำแสดงถึงเจตนาและเล็งเห็นผลตายได้
เมื่อรูปคดีฟังได้ว่า จำเลยคลอดบุตรออกมาแล้วไม่ขอความช่วยเหลือใคร. ไม่บอกให้ใครทราบ. จำเลยได้ดึงสายสะดือเด็กจนขาด แล้วทิ้งรกลงในส้วมและลาดน้ำล้างโลหิตจนหมด. เอาเด็กวางไว้ในอ่างปัสสาวะ. เปิดน้ำไหลลาดท่วมตัว ทำให้น้ำเข้าปากและปอดเด็ก. แล้วเด็กนั้นตายเพราะปอดบวมในวันรุ่งขึ้น. ถือได้แล้วว่าเป็นการที่จำเลยกระทำโดยรู้สึกในการที่กระทำนั้น. และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การทำดังนี้. เด็กบุตรของจำเลยอาจตายได้. ประกอบกับเหตุที่จำเลยทำไปทั้งนี้ก็เพราะจำเลยไม่ต้องการบุตรคนนี้. จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง.
กรณีตามพฤติการณ์หาใช่จำเลยมีเจตนาเพียงต้องการทิ้งบุตรของจำเลยไว้ให้แก่โรงพยาบาลไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าทารกแรกเกิด: การกระทำแสดงเจตนาฆ่า แม้จะอ้างเพียงต้องการละทิ้ง
เมื่อรูปคดีฟังได้ว่า จำเลยคลอดบุตรออกมาแล้วไม่ขอความช่วยเหลือใคร ไม่บอกให้ใครทราบ จำเลยได้ดึงสายสะดือเด็กจนขาด แล้วทิ้งรกลงในส้วมและลาดน้ำล้างโลหิตจนหมด เอาเด็กวางไว้ในอ่างปัสสาวะ เปิดน้ำไหลลาดท่วมตัว ทำให้น้ำเข้าปากและปอดเด็ก แล้วเด็กนั้นตายเพราะปอดบวมในวันรุ่งขึ้น ถือได้แล้วว่าเป็นการที่จำเลยกระทำโดยรู้สึกในการที่กระทำนั้น และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การทำดังนี้ เด็กบุตรของจำเลยอาจตายได้ ประกอบกับเหตุที่จำเลยทำไปทั้งนี้ก็เพราะจำเลยไม่ต้องการบุตรคนนี้ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง
กรณีตามพฤติการณ์หาใช่จำเลยมีเจตนาเพียงต้องการทิ้งบุตรของจำเลยไว้ให้แก่โรงพยาบาลไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าทารกแรกเกิด: การกระทำที่แสดงถึงเจตนาและความเล็งเห็นผล
เมื่อรูปคดีฟังได้ว่า จำเลยคลอดบุตรออกมาแล้วไม่ขอความช่วยเหลือใคร ไม่บอกให้ใครทราบ จำเลยได้ดึงสายสะดือเด็กจนขาด แล้วทิ้งรกลงในส้วมและลาดน้ำล้างโลหิตจนหมด เอาเด็กวางไว้ในอ่างปัสสาวะ เปิดน้ำไหลลาดท่วมตัว ทำให้น้ำเข้าปากและปอดเด็ก แล้วเด็กนั้นตายเพราะปอดบวมในวันรุ่งขึ้น ถือได้แล้วว่าเป็นการที่จำเลยกระทำโดยรู้สึกในการที่กระทำนั้น และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การทำดังนี้ เด็กบุตรของจำเลยอาจตายได้ ประกอบกับเหตุที่จำเลยทำไปทั้งนี้ก็เพราะจำเลยไม่ต้องการบุตรคนนี้ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง
กรณีตามพฤติการณ์หาใช่จำเลยมีเจตนาเพียงต้องการทิ้งบุตรของจำเลยไว้ให้แก่โรงพยาบาลไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากเด็กจากผู้ปกครอง: จำเลยในฐานะลูกจ้างนำเด็กไปฝากบุคคลอื่นโดยอ้างว่าเป็นบุตรตนเองเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 317
จำเลยเป็นลูกจ้าง มีหน้าที่เป็นคนครัวซักเสื้อผ้าและอื่นๆ ภายในบ้าน ถ้ามีเวลาว่างจึงช่วยดูแลเด็ก จำเลยได้นำเด็กอายุ10 เดือน ซึ่งเป็นลูกของนายจ้างไปฝากผู้มีชื่อไว้โดยจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรของจำเลยเอง เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครองตามมาตรา 317 ส่วน มาตรา 306,307 เป็นเรื่องทอดทิ้งเด็กไว้ ไม่ใช่การพาไปหรือพรากไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากเด็กจากผู้ปกครองและการเพิ่มโทษทางอาญาหลังพ้นโทษ
จำเลยเป็นลูกจ้างมีหน้าที่เป็นคนครัวซักเสื้อผ้าและอื่น ๆ ภายในบ้าน ถ้ามีเวลาว่างจึงช่วยดูแลเด็ก จำเลยได้นำเด็กอายุ 10 เดือน ซึ่งเป็นลูกของนายจ้างไปฝากผู้มีชื่อไว้โดยจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรของจำเลยเอง เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครองตาม มาตรา 317 ส่วน มาตรา 306, 307 เป็นเรื่องทอดทิ้งเด็กไว้ ไม่ใช่การพาไปหรือพรากไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตจากการหลอกลวงขายของ ศาลพิจารณาจากคำฟ้องที่ระบุการใช้คำเท็จและรับประโยชน์
ฟ้องของโจทก์แม้จะไม่ใช้ถ้อยคำดัง ก.ม.ลักษณะอาญาบัญญัติไว้ในมาตรา 304,306 แต่เมื่อมีข้อความให้เข้าใจได้ดังนั้นก็เป็นการเพียงพอ
โจทก์ฟ้องบรรยายว่าจำเลยบังอาจใช้อุบายประกอบด้วยคำเท็จมากล่าวหลอกลวงบอกขายสายสร้อยคอทองคำ 3 สายว่าเป็นทองคำแท้ แก่เจ้าทรัพย์เป็นเงิน 1250 บาท เจ้าทรัพย์หลงเชื่อคำเท็จของจำเลยว่าเป็นทองดี จึงมอบเงินจำนวน 1250 บาทแก่จำเลยไป จำเลยได้รับเงินแล้วก็เอาไปเป็นประโยชน์ตนเสียซึ่งความจริงไม่ใช่ทองคำอันแท้จริงดังนี้ก็เป็นฟ้องที่มีองค์เกณฑ์ครบตาม ม. 304,310 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259-260/2488 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงจากการหลอกลวงและยึดครองทรัพย์สินโดยเจ้าทุกข์สละการครอบครอง มิใช่ลักทรัพย์
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้เจ้าทุกข์มอบทรัพย์ให้ แล้วจำเลยพาทรัพย์หนีไปในขณะที่เจ้าทุกข์ไม่ได้ควบคุมยึดถือ และไม่อาจติดตามได้ดังนี้ ถือได้ว่าเจ้าทุกข์ได้สละการครอบครองแล้ว จำเลยต้องมีผิดฐานฉ้อโกงไม่ใช่ลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำพะยานโจทก์ แล้วชี้ขาดว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความไม่ใช่ข้อที่โจทก์ประสงค์จะลงโทษดังนี้ หากศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้อง ก็มีอำนาจพิพากษาได้ ไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นฟังพะยานจำเลยด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2484

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดวันในการฟ้องร้อง: แม้ผิดวันแต่ไม่ทำให้จำเลยเข้าใจผิด ศาลลงโทษได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำผิดวันดี 15 ตรงกับขึ้น 7 ค่ำ ได้ความว่าจำเลยทำผิดวันที่ 15 จริงแต่เป็นวันตรงกับขึ้น 6 ค่ำเมื่อไม่เป็นเหตุให้จำเลยเข้าใจวันผิดก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
of 3