พบผลลัพธ์ทั้งหมด 223 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพนอกเหนือความจริงและการพิจารณาบาดเจ็บสาหัสตามกฎหมายอาญา
แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็จะรับฟังลงโทษนอกเหนือไปจากความจริงหาได้ไม่
ฟ้องว่าผู้เสียหายบาดเจ็บถึงทุพลภาพและทนทุกข์เวทนาถ้าไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังปกติเกินกว่า 20 วัน จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ขอสืบพยานประกอบเพราะแต่วันเกิดเหตุถึงวันจำเลยรับไม่เกิน 20 วัน ผู้เสียหายเบิกความว่าแผลที่ศีรษะแม้รักษา 30 วันแต่ก็ลุกไปไหนไม่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นบาดเจ็บถึงสาหัสตาม มาตรา 256(8)
ส่วนบาดเจ็บที่นิ้วทำไซดักปลาไม่ได้ 20 วันนั้น ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาชีพทำนา จึงถือไม่ได้ว่าการทำเครื่องมือหาปลาเป็นอาชีพตามปกติตาม มาตรา 256(8)
ฟ้องว่าผู้เสียหายบาดเจ็บถึงทุพลภาพและทนทุกข์เวทนาถ้าไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังปกติเกินกว่า 20 วัน จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ขอสืบพยานประกอบเพราะแต่วันเกิดเหตุถึงวันจำเลยรับไม่เกิน 20 วัน ผู้เสียหายเบิกความว่าแผลที่ศีรษะแม้รักษา 30 วันแต่ก็ลุกไปไหนไม่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นบาดเจ็บถึงสาหัสตาม มาตรา 256(8)
ส่วนบาดเจ็บที่นิ้วทำไซดักปลาไม่ได้ 20 วันนั้น ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาชีพทำนา จึงถือไม่ได้ว่าการทำเครื่องมือหาปลาเป็นอาชีพตามปกติตาม มาตรา 256(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบทำผิดอาญา: หลักการพิจารณาความร่วมมือในการกระทำความผิด และการพิสูจน์เจตนา
มาด้วยกัน 3 คน จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฟันผู้เสียหาย แล้วคนทั้งสามก็วิ่งหนีไปด้วยกัน เป็นเรื่องฉะเพาะตัวจำเลยที่ 1 คนเดียวเท่านั้น เพราะอีก 2 คนไม่ทราบด้วย ไม่ใช่เป็นเรื่องสมคบกันมากระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบทำผิดอาญา: การกระทำของบุคคลอื่นย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบ หากไม่มีเจตนาหรือการตกลงร่วมกันตั้งแต่แรก
มาด้วยกัน 3 คน จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฟันผู้เสียหายแล้วคนทั้งสามก็วิ่งหนีไปด้วยกัน เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 คนเดียวเท่านั้น เพราะอีก 2 คน ไม่ทราบด้วยไม่ใช่เป็นเรื่องสมคบกันมากระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สาเหตุการตายและการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเขาถึงตายโดยไม่เจตนาฆ่าตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 251 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ ศาลก็ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 254 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สาเหตุการตายในคดีทำร้ายร่างกาย: จำเลยต้องรับผิดเมื่อโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าบาดแผลเป็นสาเหตุโดยตรงของการเสียชีวิต
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเขาถึงตายโดยไม่เจตนาฆ่า ตามก.ม.ลักษณะอาญาม.251 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ ศาลก็ลงโทษจำเลยตามม.254 ได้ตาม ป.วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาที่ไม่ชัดเจนประเด็นข้อกฎหมาย แม้รับสารภาพผิด
ข้อกฎหมายทั้งปวงอันคู่ความฎีการ้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2,3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตาม มาตรา 254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 254ปรับ 80 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง 3 มีบาดเจ็บ ดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วันหาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตามมาตรา338) และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อกฎหมายข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามจะค้านว่าที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้นโดยข้อกฎหมายแล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย กฎหมายข้อใด อย่างใดจำเลยไม่ได้กล่าว)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2,3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตาม มาตรา 254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 254ปรับ 80 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง 3 มีบาดเจ็บ ดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วันหาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตามมาตรา338) และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อกฎหมายข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามจะค้านว่าที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้นโดยข้อกฎหมายแล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย กฎหมายข้อใด อย่างใดจำเลยไม่ได้กล่าว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ในการเพิ่มโทษจำเลย แม้ศาลชั้นต้นลงโทษในความผิดที่เบากว่า
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256 ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บไม่สาหัสตามมาตรา 254 วางกำหนดโทษจำคุก 6 เดือน
โจทก์อุทธรณ์ต่อมาขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256 เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าบาดเจ็บไม่สาหัสก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บไม่สาหัส ตาม มาตรา 254และเห็นสมควรจะวางอัตราโทษเท่าใดตามมาตรานี้ก็ได้แม้จะเพิ่มกำหนดโทษเป็น 1 ปี 6 เดือนสูงกว่าศาลชั้นต้นก็ได้ เพราะไม่เป็นการเกินคำขอตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256 นั้นไม่
โจทก์อุทธรณ์ต่อมาขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256 เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าบาดเจ็บไม่สาหัสก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บไม่สาหัส ตาม มาตรา 254และเห็นสมควรจะวางอัตราโทษเท่าใดตามมาตรานี้ก็ได้แม้จะเพิ่มกำหนดโทษเป็น 1 ปี 6 เดือนสูงกว่าศาลชั้นต้นก็ได้ เพราะไม่เป็นการเกินคำขอตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256 นั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจศาลในการเพิ่มโทษจำเลยเกินคำขอเดิม โดยอ้างเจตนาของผู้ฟ้อง
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม ม. 256 ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม ม. 256 วางกำหนดโทษจำคุก 6 เดือน
โจทก์ดอุทธรณ์ต่อมาขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ตาม ม. 256 เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าบาดเจ็บไม่สาหัสก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บไม่สาหัสตาม ม. 254 และเห็นสมควรจะวางอัตราโทษเท่าใดตามมาตรานี้ก็ได้ แม้จะเพิ่มกำหนดโทษเป็น 1 ปี 6 เดือนสูงกว่าศาลชั้นต้นก็ได้ เพราะไม่เป็นการเกินคำขอตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256
โจทก์ดอุทธรณ์ต่อมาขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ตาม ม. 256 เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าบาดเจ็บไม่สาหัสก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บไม่สาหัสตาม ม. 254 และเห็นสมควรจะวางอัตราโทษเท่าใดตามมาตรานี้ก็ได้ แม้จะเพิ่มกำหนดโทษเป็น 1 ปี 6 เดือนสูงกว่าศาลชั้นต้นก็ได้ เพราะไม่เป็นการเกินคำขอตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตาม มาตรา 256
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การแทงและการยิงตอบโต้
เมื่อปรากฎว่านายก๊กแทงนายเอี้ยมแล้ววิ่งออกไป กลับหยุดและเดินเข้ามาหานายเอี้ยมอีก นายเอี้ยมจึงใช้ปืนยิงเอา 1 นัดดังนี้ การกระทำของนายเอี้ยมเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจากการถูกทำร้าย หากผู้ถูกทำร้ายหยุดการกระทำแล้ว ผู้กระทำต้องไม่โต้ตอบ
เมื่อปรากฏว่านายก๊กแทงนายเอี้ยมแล้ววิ่งออกไปกลับหยุดและเดินเข้ามาหานายเอี้ยมอีกนายเอี้ยมจึงใช้ปืนยิงเอา 1 นัดดังนี้การกระทำของนายเอี้ยมเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ