คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 118

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายทรัพย์สินที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบและการรับช่วงสิทธิจำนอง
โจทก์ยอมถอนการยึดทรัพย์พิพาทที่ยึดไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาก็เพื่อให้จำเลยนำไปขายแก่บุคคลทั่วไป มิได้เจาะจงให้ขายแก่ผู้ร้องเพื่อนำเงินมาชำระแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และผู้ร้องรู้อยู่ก่อนทำสัญญาซื้อขายทรัพย์พิพาทจากจำเลยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่จำเลยตกลงขายทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้อง โดยโจทก์มิได้ยินยอมให้ผู้ร้องหักหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องอยู่ก่อนจนเหลือเงินไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการที่จำเลยได้ขายทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้องทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบและผู้ร้องได้รู้เท่าถึงความจริงโจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
การที่ผู้ร้องได้ชำระหนี้ให้ธนาคาร ก. แทนจำเลยเป็นการไถ่ถอนจำนองทรัพย์พิพาทจนเป็นที่พอใจของธนาคาร ก. และธนาคาร ก.ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้จำเลยแล้ว ผู้ร้องย่อมเข้ารับช่วงสิทธิจำนองของธนาคาร ก. ที่มีอยู่เหนือทรัพย์พิพาทในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์พิพาทก่อนหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 226, และ 229(2)
แม้ตามคำร้องและคำให้การของโจทก์จะมีประเด็นเพียงว่าผู้ร้องและจำเลยสมคบกันโอนทรัพย์พิพาทให้พ้นจากการถูกยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์เท่านั้น แต่การที่ผู้ร้องและจำเลยสมคบกันโอนทรัพย์พิพาทให้พ้นจากการถูกยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์นั้น ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลย่อมวินิจฉัยถึงปัญหาดังกล่าวได้ ไม่เป็นการนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2059/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ที่ทำขึ้นโดยเจตนาลวงเพื่อผลประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่การรับเงินกู้ ย่อมใช้บังคับไม่ได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ก็เพื่อเอาใจโจทก์ เพราะขณะนั้นจำเลยถูกฟ้องคดีอาญา ต้องการจะเอาบุตรซึ่งเกิดจากสามีของโจทก์คนก่อนมาเป็นพยานให้จำเลยในคดีที่ถูกฟ้อง และเกรงว่าโจทก์จะร้องเรียนผู้บังคับบัญชาทางวินัย เพราะจำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนที่จะได้โจทก์เป็นภรรยา ส่วนทางโจทก์ก็ประสงค์จะใช้สัญญากู้เป็นข้อต่อรองให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับภรรยาคนเดิมแล้วจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ โดยมิได้มีการรับเงินกันตามสัญญากู้จริงดังนี้ สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาทำขึ้นโดย เจตนาลวงไม่ประสงค์จะผูกพันกัน จึงใช้บังคับไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2056/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้เงินพร้อมมอบเช็คเป็นหลักประกัน มิใช่นิติกรรมอำพราง แม้เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ ผู้กู้ยังคงมีหน้าที่ชำระหนี้
การนำเช็คไปแลกเงินสดและทำสัญญากู้ไว้โดยมีข้อตกลงว่าถ้าเช็คขึ้นเงินไม่ได้จะต้องชำระเงินตามสัญญากู้หรือการกู้เงินโดยทำหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐานและมอบเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้กู้นำไปขึ้นเงินเมื่อหนี้ถึงกำหนดหามีผลแตกต่างกันไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลังเพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนดทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งโดยโจทก์ คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่เป็นเรื่องนิติกรรมอำพรางสัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้นหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2056/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้และการมอบเช็คชำระหนี้: ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง แม้เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ ผู้กู้ยังต้องรับผิดตามสัญญา
การนำเช็คไปแลกเงินสดและทำสัญญากู้ไว้โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าเช็คขึ้นเงินไม่ได้จะต้องชำระเงินตามสัญญากู้ หรือการกู้เงินโดยทำหนังสือสัญญากู้เป็นหลักฐานและมอบเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้กู้นำไปขึ้นเงิน เมื่อหนี้ถึงกำหนด หามีผลแตกต่างกันไม่
จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และมอบเช็คซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ยึดถือไว้ จำนวนเงินในเช็คตรงกับจำนวนเงินในสัญญากู้ วันสั่งจ่ายตามเช็คก็ตรงกับวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญากู้ ในสัญญากู้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยได้มอบเช็คที่บุคคลอื่นเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยเป็นผู้สลักหลัง เพื่อให้โจทก์นำไปขึ้นเงินชำระหนี้เงินกู้เมื่อถึงกำหนด ทั้งนี้จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง โดยโจทก์คิดหักผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าดังนี้มิใช่ เป็นเรื่องนิติกรรมอำพราง สัญญากู้หาตกเป็นโมฆะไม่ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้อง ผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่า ถ้าโจทก์ นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพราง สัญญาเช่าซื้อระงับเมื่อรถหาย, ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้ราคาตามสัญญา
แม้ความประสงค์เดิมของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องการกู้เงินโดยนำรถยนต์ไปเป็นประกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยินยอมทำนิติกรรมตามความประสงค์ของโจทก์ คือจำเลยที่ 2 โอนขายรถยนต์ให้โจทก์ และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ เพื่อจำเลยที่ 2 จะได้เงินตามที่ต้องการ อันเป็นวิธีการทางการค้าของโจทก์ก็แสดงว่าจำเลยทั้งสองเปลี่ยนเจตนาเดิมมายินยอมผูกพันตน ตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง จึงนำบทบัญญัติลักษณะเช่ามาใช้บังคับด้วยเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับลงตั้งแต่วันที่รถยนต์สูญหายไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อเฉพาะงวดที่รถยนต์ยังไม่สูญหาย และไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายที่โจทก์อาจนำรถยนต์คันนี้ไปแสวงหาประโยชน์ได้อีก แต่เมื่อสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากเกิดการเสียหายขึ้นแก่รถยนต์ไม่ว่าด้วยประการใดๆ ผู้เช่าซื้อยินยอมชดใช้ค่าหรือราคารถยนต์ให้เจ้าของ จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์
ส่วนราคารถยนต์นั้นสมควรกำหนดตามราคาที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้โดยให้หักค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปแล้วออก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพรางสัญญาเช่าซื้อ, สัญญาเช่าซื้อระงับเมื่อรถยนต์สูญหาย, ความรับผิดชดใช้ราคารถยนต์
แม้ความประสงค์เดิมของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องการกู้เงินโดยนำรถยนต์ไปเป็นประกันแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2ยินยอมทำนิติกรรมตามความประสงค์ของโจทก์ คือจำเลยที่ 2โอนขายรถยนต์ให้โจทก์ และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ เพื่อจำเลยที่ 2 จะได้เงินตามที่ต้องการอันเป็นวิธีการทางการค้าของโจทก์ก็แสดงว่าจำเลยทั้งสองเปลี่ยนเจตนาเดิมมายินยอมผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1จึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประเภทหนึ่ง จึงนำบทบัญญัติลักษณะเช่ามาใช้บังคับด้วยเมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับลงตั้งแต่วันที่รถยนต์สูญหายไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 จำเลยที่ 1จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อเฉพาะงวดที่รถยนต์ยังไม่สูญหายและไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายที่โจทก์อาจนำรถยนต์คันนี้ไปแสวงหาประโยชน์ได้อีก แต่เมื่อสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากเกิดการเสียหายขึ้นแก่รถยนต์ไม่ว่าด้วยประการใดๆ ผู้เช่าซื้อยินยอมชดใช้ค่าหรือราคารถยนต์ให้เจ้าของ จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดชดใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์ ส่วนราคารถยนต์นั้นสมควรกำหนดตามราคาที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้โดยให้หักค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไปแล้วออก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงและสมรู้กัน ทำให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ อีกทั้งการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพยานเอกสาร
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง เดิมจำเลยถูกศาลพิพากษาให้ชำระหนี้ให้สามีโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินเดือนฯของจำเลยต่อนายจ้างของจำเลย เมื่อนายจ้างของจำเลยส่งเงินมายังกรมบังคับคดีครบตามจำนวนหนี้แล้วสามีโจทก์จึงขอถอนการอายัดและให้จำเลยไปรับเงินจากกรมบังคับคดีมาให้สามีโจทก์ แต่สามีโจทก์เกรงว่าเมื่อจำเลยรับเงินแล้วจะไม่นำมาให้สามีโจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้แก่โจทก์ จำเลยได้รับเงินจากกรมบังคับคดีและมอบให้สามีโจทก์แล้ว สามีโจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ แต่โจทก์กลับนำเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยต่อสู้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงและสมรู้ร่วมกันระหว่างคู่กรณี เป็นโมฆะตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง เดิมจำเลยถูกศาลพิพากษาให้ชำระหนี้ให้สามีโจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินเดือนฯ ของจำเลยต่อนายจ้างของจำเลย เมื่อนายจ้างของจำเลยส่งเงินมายังกรมบังคับคดีครบตามจำนวนหนี้แล้ว สามีโจทก์จึงขอถอนการอายัดและให้จำเลยไปรับเงินจากกรมบังคับคดีมาให้สามีโจทก์ แต่สามีโจทก์เกรงว่าเมื่อจำเลยรับเงินแล้วจะไม่นำมาให้สามีโจทก์ จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้แก่โจทก์ จำเลยได้รับเงินจากกรมบังคับคดีและมอบให้สามีโจทก์แล้วสามีโจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ แต่โจทก์กลับนำเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังจำเลยต่อสู้ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ว่าสัญญากู้ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาลวงและตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118
จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จะให้จำเลยรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาไม่จดทะเบียน: สัญญาเป็นโมฆะ แม้มีสัญญาจะซื้อจะขาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทกัน แต่ได้ทำนิติกรรมจำนองอำพรางไว้ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การซื้อขายที่ดินต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีว่าตั้งใจจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่ หากไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สัญญาตกเป็นโมฆะ หากมีเจตนาดังกล่าว ก็เป็นสัญญาจะซื้อขายการชำระราคาและส่งมอบที่ดินให้แก่กัน ก็ถือเป็นการชำระหนี้บางส่วนซึ่งจะบังคับตามสัญญาซื้อขายได้ เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาชัดแจ้งที่จะไม่นำการซื้อขายที่ดินพิพาทไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลังอีก แต่โจทก์จะโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นต่อไปโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลยจึงเป็นการซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยทำสัญญาจำนองอำพรางและเจตนาไม่จดทะเบียน: สัญญาเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทกัน แต่ได้ทำนิติกรรมจำนองอำพรางไว้ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การซื้อขายที่ดินต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีว่า ตั้งใจจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่ หากไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสัญญาตกเป็นโมฆะ หากมีเจตนาดังกล่าว ก็เป็นสัญญาจะซื้อขายการชำระราคาและส่งมอบที่ดินให้แก่กัน ก็ถือเป็นการชำระหนี้บางส่วนซึ่งจะบังคับตามสัญญาซื้อขายได้ เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาชัดแจ้งที่จะไม่นำการซื้อขายที่ดินพิพาทไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลังอีก แต่โจทก์จะโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นต่อไปโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลยจึงเป็นการซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456
of 28