คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 57 (3)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 162 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมที่มีส่วนได้เสียในประเด็นที่อุทธรณ์ ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องถูกยก
ในคดีที่มีคู่ความสามฝ่าย จำเลยร่วมให้การเป็นปรปักษ์กับจำเลย จำเลยได้ยกประเด็นที่ว่านี้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วม ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เสีย ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยร่วมเสียก่อน แล้วให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: ความรับผิดของนายประกันเมื่อไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามสัญญา และอำนาจโจทก์
จำเลยทำสัญญาประกันผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวน แล้วผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามนัด จำเลยย่อมมีหน้าที่ใช้เงินตามสัญญา ไม่จำเป็นที่พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญา
เงินที่จำเลยผู้ประกันสัญญาจะใช้เมื่อผิดสัญญาประกัน มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ เมื่อจำเลยมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนด ก็เป็นการผิดสัญญา ย่อมต้องใช้เบี้ยปรับ การนำตัวผู้ต้องหามาส่งภายหลังหรือคดีนั้นมีการสั่งไม่ฟ้องหรือผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดตามสัญญาประกันไม่ เป็นแต่เพียงเหตุในการใช้ดุลพินิจว่าควรปรับมากน้อยเพียงใด (อ้างฎีกาที่ 1072/2491 และ1039/2499)
พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รับคำร้องขอประกันผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่ ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล และเป็นผู้มีหน้าที่พิจารณาสั่งคำร้อง แล้วให้ผู้ร้องทำสัญญาประกัน จึงเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ย่อมเป็นโจทก์ฟ้องผู้ประกันซึ่งผิดสัญญาประกันได้ (อ้างฎีกาที่ 701/2498)
นายตำรวจสองนายซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจเดียวกันคนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้รับสัญญาประกันอีกคนหนึ่งลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาประกัน เป็นการกระทำของบุคคลในตำแหน่งหน้าที่เดียว ไม่ใช่ทำแทนกัน และหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวเป็นอำนาจของตำแหน่งหน้าที่ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ จึงฟ้องคดีโดยระบุตำแหน่งหน้าที่ และระบุนามบุคคลซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่เป็นคู่ความได้(อ้างฎีกาที่ 2106-2108/2492)
กรณีจำเลยผู้ประกันไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนด พนักงานสอบสวนย่อมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ในการสอบสวนผู้ต้องหาได้ จึงเป็นการเสียหายต่อราชการ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันและมีหน้าที่ชำระเบี้ยปรับแล้วไม่ชำระ เป็นการผิดนัด ย่อมต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
การที่จำเลยร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความร่วม อ้างว่ามีส่วนได้เสียร่วมกับจำเลย ซึ่งจำเลยจะใช้สิทธิไล่เบี้ยได้นั้น หากศาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็น จะไม่เรียกเข้ามาก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: ความรับผิดของนายประกันเมื่อไม่ปฏิบัติตามสัญญา และอำนาจฟ้องของพนักงานสอบสวน
จำเลยทำสัญญาประกันผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวน แล้วผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามนัด จำเลยย่อมมีหน้าที่ใช้เงินตามสัญญา ไม่จำเป็นที่พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญา
เงินที่จำเลยผู้ประกันสัญญาจะใช้เมื่อผิดสัญญาประกัน มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ เมื่อจำเลยมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดก็เป็นการผิดสัญญา ย่อมต้องใช้เบี้ยปรับ การนำตัวผู้ต้องหามาส่งภายหลังหรือคดีนั้นมีการสั่งไม่ฟ้อง.หรือผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดตามสัญญาประกันไม่ เป็นแต่เพียงเหตุในการใช้ดุลพินิจว่าควรปรับมากน้อยเพียงใด (อ้างฎีกาที่ 1072/2491 และ1039/2499)
พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รับคำร้องขอประกันผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่ ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล และเป็นผู้มีหน้าที่พิจารณาสั่งคำร้อง แล้วให้ผู้ร้องทำสัญญาประกันจึงเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ย่อมเป็นโจทก์ฟ้องผู้ประกันซึ่งผิดสัญญาประกันได้ (อ้างฎีกาที่701/2498)
นายตำรวจสองนายซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจเดียวกันคนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้รับสัญญาประกันอีกคนหนึ่งลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาประกัน เป็นการกระทำของบุคคลในตำแหน่งหน้าที่เดียว ไม่ใช่ทำแทนกัน และหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวเป็นอำนาจของตำแหน่งหน้าที่ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้.จึงฟ้องคดีโดยระบุตำแหน่งหน้าที่ และระบุนามบุคคลซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่เป็นคู่ความได้(อ้างฎีกาที่ 2106-2108/2492)
กรณีจำเลยผู้ประกันไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนด.พนักงานสอบสวนย่อมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ในการสอบสวนผู้ต้องหาได้ จึงเป็นการเสียหายต่อราชการ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันและมีหน้าที่ชำระเบี้ยปรับแล้วไม่ชำระเป็นการผิดนัด ย่อมต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
การที่จำเลยร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความร่วม อ้างว่ามีส่วนได้เสียร่วมกับจำเลย ซึ่งจำเลยจะใช้สิทธิไล่เบี้ยได้นั้น หากศาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็น จะไม่เรียกเข้ามาก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: ความรับผิดของนายประกันเมื่อไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามนัด และอำนาจโจทก์ของพนักงานสอบสวน
จำเลยทำสัญญาประกันผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวน แล้วผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามนัด. จำเลยย่อมมีหน้าที่ใช้เงินตามสัญญา ไม่จำเป็นที่พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญา.
เงินที่จำเลยผู้ประกันสัญญาจะใช้เมื่อผิดสัญญาประกัน มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ. เมื่อจำเลยมิได้ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนด.ก็เป็นการผิดสัญญา ย่อมต้องใช้เบี้ยปรับ. การนำตัวผู้ต้องหามาส่งภายหลังหรือคดีนั้นมีการสั่งไม่ฟ้อง.หรือผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์. หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดตามสัญญาประกันไม่. เป็นแต่เพียงเหตุในการใช้ดุลพินิจว่าควรปรับมากน้อยเพียงใด (อ้างฎีกาที่ 1072/2491 และ1039/2499).
พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รับคำร้องขอประกันผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่. ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล. และเป็นผู้มีหน้าที่พิจารณาสั่งคำร้อง แล้วให้ผู้ร้องทำสัญญาประกัน.จึงเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้. ย่อมเป็นโจทก์ฟ้องผู้ประกันซึ่งผิดสัญญาประกันได้.(อ้างฎีกาที่701/2498).
นายตำรวจสองนายซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจเดียวกันคนหนึ่งลงชื่อเป็นผู้รับสัญญาประกันอีกคนหนึ่งลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาประกัน. เป็นการกระทำของบุคคลในตำแหน่งหน้าที่เดียว ไม่ใช่ทำแทนกัน. และหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวเป็นอำนาจของตำแหน่งหน้าที่ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้.จึงฟ้องคดีโดยระบุตำแหน่งหน้าที่ และระบุนามบุคคลซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่เป็นคู่ความได้.(อ้างฎีกาที่ 2106-2108/2492).
กรณีจำเลยผู้ประกันไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนด.พนักงานสอบสวนย่อมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ในการสอบสวนผู้ต้องหาได้. จึงเป็นการเสียหายต่อราชการ. เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันและมีหน้าที่ชำระเบี้ยปรับแล้วไม่ชำระ.เป็นการผิดนัด. ย่อมต้องเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี.
การที่จำเลยร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความร่วม อ้างว่ามีส่วนได้เสียร่วมกับจำเลย ซึ่งจำเลยจะใช้สิทธิไล่เบี้ยได้นั้น หากศาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็น จะไม่เรียกเข้ามาก็ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความและผลกระทบของการปิดทาง การชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิด และการเป็นคู่ความ
ค่าเสียหายฐานทำละเมิดปิดทางภารจำยอมติดต่อกันตลอดมาคงขาดอายุความเฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งปีก่อนฟ้อง
เมื่อจำเลยจงใจทำผิดกฎหมายโดยแกล้งปิดทาง เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายย่อมเป็นผู้ทำละเมิด และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แม้โจทก์นำสืบถึงค่าเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้ ศาลก็อาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
โจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินจำเลยสำหรับล้อเกวียนบรรทุกข้าวเข้าออกระหว่างโรงสีโจทก์ (ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์) กับทางสาธารณประโยชน์ตลอดมากว่า 10 ปี ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมโดยทางอายุความ แม้เพื่อประโยชน์การค้าก็ไม่มีกฎหมายจำกัด ว่าจะเป็นภารจำยอมไม่ได้
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นไม่ใช่คำฟ้อง แต่เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแล้ว บุคคลภายนอกก็ย่อมเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) แม้มิได้เป็นคู่ความตามคำฟ้องมาแต่แรกศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมนั้นเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ ทางพิพาทปิดกั้น ค่าเสียหายละเมิด และอำนาจฟ้องจำเลยร่วม
ค่าเสียหายฐานทำละเมิดปิดทางภารจำยอมติดต่อกันตลอดมาคงขาดอายุความเฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งปีก่อนฟ้อง
เมื่อจำเลยจงใจทำผิดกฎหมายโดยแกล้งปิดทาง เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายย่อมเป็นผู้ทำละเมิด และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แม้โจทก์นำสืบถึงค่าเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้ ศาลก็อาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
โจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินจำเลยสำหรับล้อเกวียนบรรทุกข้าวเข้าออกระหว่างโรงสีโจทก์ (ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์)กับทางสาธารณประโยชน์ตลอดมากว่า 10 ปี ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมโดยทางอายุความ แม้เพื่อประโยชน์การค้าก็ไม่มีกฎหมายจำกัด ว่าจะเป็นภารจำยอมไม่ได้
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นไม่ใช่คำฟ้อง แต่เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแล้ว บุคคลภายนอกก็ย่อมเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) แม้มิได้เป็นคู่ความตามคำฟ้องมาแต่แรก ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมนั้นเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ การปิดทางละเมิด ค่าเสียหาย และอำนาจฟ้องจำเลยร่วม
ค่าเสียหายฐานทำละเมิดปิดทางภารจำยอมติดต่อกันตลอดมา.คงขาดอายุความเฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งปีก่อนฟ้อง.
เมื่อจำเลยจงใจทำผิดกฎหมายโดยแกล้งปิดทาง เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายย่อมเป็นผู้ทำละเมิด และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน. แม้โจทก์นำสืบถึงค่าเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนไม่ได้. ศาลก็อาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด.
โจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินจำเลยสำหรับล้อเกวียนบรรทุกข้าวเข้าออกระหว่างโรงสีโจทก์ (ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์)กับทางสาธารณประโยชน์ตลอดมากว่า 10 ปี. ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมโดยทางอายุความ. แม้เพื่อประโยชน์การค้าก็ไม่มีกฎหมายจำกัด.ว่าจะเป็นภารจำยอมไม่ได้.
คำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นไม่ใช่คำฟ้อง. แต่เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความแล้ว.บุคคลภายนอกก็ย่อมเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3). แม้มิได้เป็นคู่ความตามคำฟ้องมาแต่แรก. ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมนั้นเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินในเขตหวงห้าม: การครอบครองภายหลังมีกฎหมายหวงห้ามไม่มีสิทธิฟ้อง
ที่ดินพิพาทอยู่ภายในเขตหวงห้ามตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาท ฯ พ.ศ. 2479 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดูแลรักษาและหวงห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาจับจองครอบครองหักล้างเข้าจัดทำหรือปลูกสร้างด้วยประการใด ๆ ในที่ดินนี้ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์บรรพบุรุษของโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ใช่ที่ดินอยู่ในความคุ้มครองหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาท ฯ พ.ศ.2479 ขอห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทต่อไปฟ้องและคำขอบังคับคดีของโจทก์จึงมีผลกระทบไปถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีย่อมจะใช้สิทธิเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้เพื่อต่อสู้คดีโจทก์ หรือใช้สิทธิฟ้องโจทก์เกี่ยวกับทีดินพิพาทได้ตามลำพัง ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาท ฯ พ.ศ.2479 ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานี้โจทก์ควรจะฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นจำเลยด้วย จำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามมาตรา 57 (3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรียอมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยดี มิได้คัดค้านประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้จึงเป็นการชอบ ที่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราขการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยมิได้ฟังคำคัดค้านของโจทก์เป็นการไม่ชอบ นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยเห็นสมควรโดยถือเอาคำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นมูลฐานพิจารณาสั่งตามอำนาจของศาล จึงไม่จำเป็นฟังคำคัดค้านของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินในเขตหวงห้าม: สิทธิครอบครองภายหลังมีพระราชกฤษฎีกา และการมีส่วนร่วมของหน่วยงานราชการ
ที่ดินพิพาทอยู่ภายในเขตหวงห้ามตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดูแลรักษาและหวงห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาจับจองครอบครองหักล้างเข้าจัดทำหรือปลูกสร้างด้วยประการใด ๆ ในที่ดินนี้ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์บรรพบุรุษของโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ใช่ที่ดินอยู่ในความคุ้มครองหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ขอห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทต่อไปฟ้องและคำขอบังคับคดีของโจทก์จึงมีผลกระทบไปถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีย่อมจะใช้สิทธิเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้เพื่อต่อสู้คดีโจทก์ หรือใช้สิทธิฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามลำพัง ตามคำร้องของจำเลยที่1 ที่ขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานี้โจทก์ควรจะฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นจำเลยด้วย จำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรียอมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยดี มิได้คัดค้านประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้จึงเป็นการชอบ ที่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยมิได้ฟังคำคัดค้านของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยเห็นสมควรโดยถือเอาคำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นมูลฐานพิจารณาสั่งตามอำนาจของศาล จึงไม่จำเป็นฟังคำคัดค้านของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1226/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลย ไม่ใช่คำคู่ความ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
ในกรณีร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 นั้นถ้าบุคคลภายนอกมีคำขอสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะต้องแสดงเหตุที่จะขอเข้ามาในคดี คำขอเช่นนี้เป็นคำคู่ความตามฝ่ายที่เข้าร่วม หรือถ้าไม่เป็นฝ่ายใด แต่เพื่อบังคับตามสิทธิของตนก็เป็นคำฟ้อง ในกรณีที่ถูกเรียกให้เข้ามาในคดีเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ต้องยื่นเอกสารแสดงเหตุว่าเข้ามาในคดีเพราะเหตุใด ถ้าถูกเรียกเข้ามาเป็นฝ่ายจำเลย จะต้องยื่นคำให้การด้วย ตามมาตรา 177 วรรคท้าย ดังนี้ คำขอและเอกสารแสดงเหตุที่สอดเข้ามาจึงจัดว่าเป็นคำคู่ความถ้าศาลมีคำสั่งไม่ให้เข้ามาในคดี ย่อมมีผลเป็นการไม่รับคำคู่ความ แต่คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ยังไม่มีการขอเข้ามาหรือแสดงเหตุที่เข้ามาเป็นคู่ความ หาใช่เป็นคำคู่ความไม่ และมิใช่เป็นการตั้งประเด็นเพราะมิได้เป็นข้อเถียงหรือข้อแก้คำฟ้องแต่ประการใดคำสั่งคำขอชนิดนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลย มิใช่คำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 228(2) เพราะถ้าจำเลยแพ้คดีจะได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่จะเรียกเข้ามา ประโยชน์อย่างนี้มิใช่ประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพราะประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อศาลพิพากษาคดีให้จำเลยแพ้แล้ว และจำเลยต้องชำระหนี้แล้วจึงจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2510)
of 17