พบผลลัพธ์ทั้งหมด 176 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899-900/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส มิฉะนั้นสิทธิในทรัพย์สินส่วนที่เกินส่วนของตนจะตกแก่คู่สมรส
ที่ว่าสามีหรือภริยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินบริคณห์ให้ผู้อื่นเกินกว่าส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 นั้น แม้ทรัพย์สินตามพินัยกรรมจะมีค่าไม่เกินสินบริคณห์ส่วนของตนก็ตาม แต่ถ้ายังไม่ได้มีการแบ่งทรัพย์สินบริคณห์ระหว่างกัน ทรัพย์สินตามพินัยกรรมก็ยังเป็นสินสมรสซึ่งสามีหรือภริยายังมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ถ้าคู่สมรสอีกฝ่ายมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 พินัยกรรมนั้นก็มีผลให้ทรัพย์ตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมเพียงตามส่วนของผู้ทำพินัยกรรมเท่านั้น
โจทก์ตั้งฐานฟ้องเป็นเรื่องเรียกทรัพย์ตามพินัยกรรม ไม่ได้ขอให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด และจำเลยก็ต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอม เจ้ามรดกไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ จึงถือว่าการที่จำเลยไม่ยอมส่งทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นการละเมิดมิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยหรือค่าเสียหาย
ข้อเท็จจริงใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่ได้.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2509).
โจทก์ตั้งฐานฟ้องเป็นเรื่องเรียกทรัพย์ตามพินัยกรรม ไม่ได้ขอให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด และจำเลยก็ต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอม เจ้ามรดกไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ จึงถือว่าการที่จำเลยไม่ยอมส่งทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นการละเมิดมิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยหรือค่าเสียหาย
ข้อเท็จจริงใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่ได้.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2509).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899-900/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส มิฉะนั้นสิทธิในทรัพย์สินส่วนนั้นเป็นของคู่สมรส
ที่ว่าสามีหรือภริยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินบริคณห์ให้ผู้อื่นเกินกว่าส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1477 นั้น แม้ทรัพย์สินตามพินัยกรรมจะมีค่าไม่เกินสินบริคณห์ส่วนของตนก็ตาม แต่ถ้ายังไม่ได้มีการแบ่งทรัพย์สินบริคณห์ระหว่างกัน ทรัพย์สินตามพินัยกรรมก็ยังเป็นสินสมรสซึ่งสามีหรือภริยายังมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ถ้าคู่สมรสอีกฝ่ายมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง พินัยกรรมนั้นก็มีผลให้ทรัพย์ตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมเพียงตามส่วนของผู้ทำพินัยกรรมเท่านั้น
โจทก์ตั้งฐานฟ้องเป็นเรื่องเรียกทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้ขอให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด และจำเลยก็ต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอม เจ้ามรดกไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ จึงถือว่าการที่จำเลยไม่ยอมส่งทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นการละเมิดมิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับดอกเบี้ยหรือค่าเสียหาย
ข้อเท็จจริงใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2509)
โจทก์ตั้งฐานฟ้องเป็นเรื่องเรียกทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้ขอให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด และจำเลยก็ต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอม เจ้ามรดกไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ จึงถือว่าการที่จำเลยไม่ยอมส่งทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นการละเมิดมิได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับดอกเบี้ยหรือค่าเสียหาย
ข้อเท็จจริงใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาใหม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วม แม้มิได้ลงชื่อในสัญญา ก็ผูกพันได้ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งของในห้องพิพาท และตกลงโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมายรู้เห็นยินยอมด้วย แต่มิได้ลงชื่อในสัญญานั้น สัญญานั้นย่อมผูกพันสิ่งของส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 โจทก์จึงบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบสิ่งของนั้นให้แก่โจทก์ได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์" มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์" มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าและส่งมอบทรัพย์สิน เจ้าของร่วมมีส่วนผูกพันตามสัญญา
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งของในห้องพิพาท และตกลงโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมายรู้เห็นยินยอมด้วย แต่มิได้ลงชื่อในสัญญานั้น สัญญานั้นย่อมผูกพันสิ่งของส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง โจทก์จึงบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบสิ่งของนั้นให้แก่โจทก์ได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ " มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่าจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกันจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ " มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่าจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกันจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างการอยู่กินฉันสามีภริยา และการแบ่งทรัพย์สินเมื่อมีภริยาหลายคน
จำเลยมีผู้ร้องสอดเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ภายหลังการใช้บรรพนี้แล้วจำเลยยังได้โจทก์เป็นภริยาอีก แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ภริยาแต่ละคนของจำเลยมีถิ่นที่อยู่ต่างตำบลกันและมีทรัพย์สินอยู่ ณ ตำบลที่อยู่ของแต่ละคน แสดงว่าได้แบ่งแยกกันเป็นส่วนสัดแล้ว ทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกันหรือทำมาหาได้ร่วมกัน จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีอำนาจเอาไปขายทั้งหมดโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทรัพย์สินเหล่านี้มา โจทก์จึงมีส่วนได้กึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรวมยินยอมให้ขายฝาก ที่ดินหลุดเป็นสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่
หากมีผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเอาไปขายฝากโจทก์และไม่ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ที่พิพาททั้งแปลงย่อมหลุดตกเป็นสิทธิแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรวมยินยอมให้ขายฝากแล้วไม่ไถ่ ที่ดินตกเป็นของโจทก์ โจทก์มีสิทธิขับไล่
หากผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเอาไปขายฝากโจทก์และไม่ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดแล้วที่พิพาททั้งแปลงย่อมหลุดตกเป็นสิทธิแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจากการยินยอมการขายมรดกและรับเงินค่าขาย
มารดาโจทก์ทำสัญญามัดจำขายสวนยางมรดกพิพาทให้แก่จำเลยโจทก์ซึ่งเป็นทายาทร่วมกับมารดาได้รู้เห็นยินยอมด้วยทั้งได้รับเงินส่วนแบ่งค่าขายสวนยางพิพาทไปจากมารดาโจทก์ด้วยแล้วโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยอ้างว่าสวนยางเป็นของโจทก์ ดังนี้ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจากการยินยอมการขายทรัพย์สินและรับผลประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น
มารดาโจทก์ทำสัญญามัดจำขายสวนยางมรดกพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทร่วมกับมารดาได้รู้เห็นยินยอมด้วย ทั้งได้รับเงินส่วนแบ่งค่าขายสวนยางพิพาทไปจากมารดาด้วยแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยอ้างว่าสวนยางเป็นของโจทก์ ดังนี้ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้จำนองทรัพย์สินร่วม: ผลผูกพันทางกฎหมายและการรับรองความสมบูรณ์ของสัญญา
จำเลยกับผู้ร้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างนั้นได้ออกเงินช่วยกันซื้อที่ดินและร่วมกันครอบครองมา เมื่อจำเลยผู้เป็นสามีนำรังวัดที่ดินนี้เพื่อออกโฉนดและใบไต่สวน ผู้ร้องก็ทราบแต่ก็ยอมให้ลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวภายหลังจำเลยนำที่ดินนี้ไปจำนองไว้กับโจทก์ เมื่อโจทก์บอกกล่าวการบังคับจำนอง ผู้ร้องก็ติดต่อขอผ่อนผันกับโจทก์โดยได้รับมอบอำนาจจากจำเลย ต่อมาผู้ร้องปลูกห้องแถวลงในที่ดินนี้ ผู้ร้องก็ขออนุญาตโจทก์ และยังยอมให้สิ่งปลูกสร้างตกอยู่ในสัญญาจำนองด้วย เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องบังคับจำนองตลอดจนกระทั่งโจทก์ชนะคดีแล้วยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาด ผู้ร้องก็ไม่เคยโต้แย้งเลยดังนี้ ผู้ร้องจะเพิ่งมาโต้แย้งภายหลังที่ขายทอดตลาดแล้วว่าทรัพย์รายนี้เป็นของผู้ร้องร่วมอยู่ด้วย และว่าจำเลยไม่มีอำนาจจำนองทรัพย์ส่วนของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงขอแบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเช่นนี้หาได้ไม่เพราะตามพฤติการณ์ของผู้ร้องแสดงชัดแจ้งแล้วว่าผู้ร้องรับรองต่อโจทก์ว่าที่จำเลยจำนองที่ดินนี้แก่โจทก์นั้นเป็นการสมบูรณ์และโดยมีอำนาจ