คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1361

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 176 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและการฟ้องบุพการี: การบังคับให้ส่งมอบโฉนดและการไม่ขัดต่อมาตรา 1562
โจทก์และจำเลยเป็นบุตรของจำเลยร่วม ทั้งสามต่างเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 2568 ร่วมกัน โจทก์ต้องการโฉนดมาเพื่อทำนิติกรรมจำหน่ายส่วนของตนและเข้าใจว่าจำเลยเป็นผู้เก็บโฉนดไว้ไม่ยอมมอบให้ จึงฟ้องจำเลยขอให้ส่งมอบโฉนดและเรียกค่าเสียหาย ต่อมาความปรากฏแก่ศาลว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เก็บรักษาโฉนดไว้ ดังนี้จึงเป็นการสมควรและจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ ศาลจะมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)(ข) และพิพากษาบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดตามฟ้องของโจทก์ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 เป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้ฟ้องผู้บุพการีของตนจึงต้องแปลโดยเคร่งครัด การที่ศาลมีคำสั่งเรียกบิดาโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3)(ข) ยังเรียกไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องบุพการีของตน จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและการฟ้องบุพการี: ศาลมีอำนาจเรียกจำเลยร่วมได้หากมีเหตุผล และไม่ถือเป็นการฟ้องบุพการีโดยตรง
โจทก์และจำเลยเป็นบุตรของจำเลยร่วม ทั้งสามต่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 2568 ร่วมกัน โจทก์ต้องการโฉนดมาเพื่อทำนิติกรรมจำหน่ายส่วนของตนและเข้าใจว่าจำเลยเป็นผู้เก็บโฉนดไว้ไม่ยอมมอบให้ จึงฟ้องจำเลยขอให้ส่งมอบโฉนดและเรียกค่าเสียหาย ต่อมาความปรากฏแก่ศาลว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เก็บรักษาโฉนดไว้ ดังนี้จึงเป็นการสมควรและจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ศาลจะมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(3)(ข) และพิพากษาบังคับจำเลยร่วมให้รับผิดตามฟ้องของโจทก์ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 เป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้ฟ้องผู้บุพการีของตน จึงต้องแปลโดยเคร่งครัด การที่ศาลมีคำสั่งเรียกบิดาโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (ข) ยังเรียกไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องบุพการีของตน จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2214/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์: การรังวัดแบ่งแยกที่ดินมิใช่เงื่อนเวลา สิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเกิดเมื่อทำสัญญา
จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์โดยจำเลยรับจะไปดำเนินการรังวัดแบ่งที่ดินระหว่างเจ้าของรวม เมื่อแบ่งแยกและคำนวณเนื้อที่ดินในโฉนดส่วนของจำเลยได้เท่าไร โจทก์จะชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้ และจำเลยจะโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ต่อไป ดังนี้ ข้อตกลงที่ว่าให้จำเลยไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินก่อนแล้วจึงจะโอนขายให้แก่โจทก์ มิใช่ข้อตกลงอันบังคับไว้ให้นิติกรรมเป็นผล จึงมิใช่เงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 ทั้งข้อตกลงดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาไว้แน่นอนว่าจำเลยจะดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินมาให้แล้วเสร็จเมื่อใด จึงมิใช่เงื่อนเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 153 ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการหรือขั้นตอนที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เท่านั้น เมื่อโจทก์สละสิทธิที่จะให้จำเลยจัดการรังวัดแบ่งแยกก่อนโอนกรรมสิทธิ์และยอมรับแบ่งที่พิพาทส่วนกลางตามสัญญา จำเลยจึงต้องโอนขายที่พิพาทให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2214/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์: การรังวัดแบ่งแยกที่ดินไม่ใช่เงื่อนไขบังคับสัญญา
จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์โดยจำเลยรับจะไปดำเนินการรังวัดแบ่งที่ดินระหว่างเจ้าของรวม เมื่อแบ่งแยกและคำนวณเนื้อที่ดินในโฉนดส่วนของจำเลยได้เท่าไร โจทก์จะชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้ และจำเลยจะโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ต่อไป ดังนี้ ข้อตกลงที่ว่าให้จำเลยไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินก่อนแล้วจึงจะโอนขายให้แก่โจทก์ มิใช่ข้อตกลงอันบังคับไว้ให้นิติกรรมเป็นผล จึงมิใช่เงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 ทั้งข้อตกลงดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาไว้แน่นอนว่าจำเลยจะดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินมาให้แล้วเสร็จเมื่อใด จึงมิใช่เงื่อนเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 153 ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการหรือขั้นตอนที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น เมื่อโจทก์สละสิทธิที่จะให้จำเลยจัดการรังวัดแบ่งแยกก่อนโอนกรรมสิทธิ์และยอมรับแบ่งที่พิพาทส่วนกลางตามสัญญา จำเลยจึงต้องโอนขายที่พิพาทให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองร่วม การซื้อขายที่ดิน และการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ไม่ชอบ
โจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยจึงมีสิทธิที่จะขายที่พิพาทส่วนที่โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองให้โจทก์ได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมเสียทั้งหมด
มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์เป็นคดีละเมิด โจทก์ไม่มีหน้าที่ตามนิติกรรมที่จะต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง
โจทก์ร่วมขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาทแล้วโอนขายให้แก่โจทก์ จำเลยฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม และพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ให้โจทก์หรือโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลย ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ตามคำขอของจำเลยดังกล่าวแปลได้ว่าจำเลยขอให้ศาลเพิกถอน น.ส.3 ที่โจทก์ร่วมขอออกทับที่พิพาทส่วนของจำเลยอยู่ในตัวดังนั้นเมื่อศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับโจทก์ร่วมและการออก น.ส.3 ให้โจทก์ร่วมเป็นการไม่ชอบทั้งโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ศาลก็พิพากษาให้เพิกถอน น.ส.3 ดังกล่าวเพื่อให้โจทก์จำเลยต่าง ไปดำเนินการขอเอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดินของตนตามสิทธิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองร่วม การซื้อขายที่ดิน และการเพิกถอน น.ส.3 ที่ออกโดยไม่ชอบ
โจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยจึงมีสิทธิที่จะขายที่พิพาทส่วนที่โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองให้โจทก์ได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมเสียทั้งหมด
มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์เป็นคดีละเมิด โจทก์ไม่มีหน้าที่ตามนิติกรรมที่จะต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง
โจทก์ร่วมขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาทแล้วโอนขายให้แก่โจทก์ จำเลยฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม และพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ให้โจทก์หรือโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลย ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ตามคำขอของจำเลยดังกล่าวแปลได้ว่าจำเลยขอให้ศาลเพิกถอน น.ส.3 ที่โจทก์ร่วมขอออกทับที่พิพาทส่วนของจำเลยอยู่ในตัวดังนั้นเมื่อศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับโจทก์ร่วมและการออก น.ส.3 ให้โจทก์ร่วมเป็นการไม่ชอบทั้งโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ศาลก็พิพากษาให้เพิกถอน น.ส.3 ดังกล่าวเพื่อให้โจทก์จำเลยต่าง ไปดำเนินการขอเอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดินของตนตามสิทธิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3259/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายที่ดินรวมของผู้เยาว์: สิทธิจำหน่ายส่วนของตนและข้อยกเว้นความยินยอม
ผู้ร้องสอดเป็นผู้เยาว์และเป็นเจ้าของรวมกับจำเลยในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ 200 ตารางวา ซึ่งไม่เกินส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก และเนื่องจากจำเลยไม่ได้นำเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องสอดมาขายให้โจทก์จึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอดและศาลเสียก่อน เพราะมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยนำที่ดินของผู้เยาว์ไปทำนิติกรรมขายให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3259/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายที่ดินของผู้เยาว์ที่เป็นเจ้าของรวม สิทธิในการขายจำกัดเฉพาะส่วนของตน
ผู้ร้องสอดเป็นผู้เยาว์และเป็นเจ้าของรวมกับจำเลยในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ 200 ตารางวาซึ่งไม่เกินส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรกและเนื่องจากจำเลยไม่ได้นำเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องสอดมาขายให้โจทก์ จึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องสอดและศาลเสียก่อน เพราะมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยนำที่ดินของผู้เยาว์ไปทำนิติกรรมขายให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1449/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการปล่อยทรัพย์: เจ้าของรวม vs. ลูกหนี้ตามคำพิพากษา
การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 ต้องเป็นกรณีที่กล่าวอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ยึด เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย ศาลก็ต้องยกคำร้องของผู้ร้องเสีย เพราะกรรมสิทธิ์ของเจ้าของรวมแต่ละคนย่อมครอบไปเหนือทรัพย์สินทั้งหมดจนกว่าจะมีการแบ่ง
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 981/2492)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของรวมในการบังคับคดี: การแบ่งส่วนทรัพย์สินจากการขายทอดตลาด
จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำยึดที่นาพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในที่นาพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้แบ่งส่วนหรือให้กันส่วนของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287ออกจำนวน 21 ไร่ 1 งาน 5 วา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 67(4) ก็มิได้กำหนดว่าคำร้องขอส่วนแบ่งเช่นกรณีของผู้ร้องจะต้องระบุว่าขอให้กันส่วนในจำนวนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดด้วยถือได้ว่าตามคำร้องของผู้ร้องได้ขอให้แบ่งส่วนให้ผู้ร้องด้วย มิได้ขอให้กันส่วนเป็นที่ดินแต่อย่างเดียวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 แล้ว จะต้องรับคำร้องของผู้ร้องไว้วินิจฉัยชี้ขาดต่อไป
of 18