พบผลลัพธ์ทั้งหมด 173 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: การสมคบกันมีฝิ่นในครอบครอง และข้อยกเว้นความรับผิดของมารดาผู้ให้ที่พักพิง
การที่เจ้าบ้านผู้เป็นมารดายอมให้จำเลยซึ่งเป็นนายสิบตำรวจผู้บุตร ขนฝิ่นเข้ามาไว้ในบ้านนั้นมารดาอาจเข้าใจว่าจำเลยจับฝิ่นได้จากคนร้ายก็ได้ทั้งเพิ่งนำมาเก็บไว้ไม่กี่ชั่วโมงก็เกิดถูกจับขึ้นดังนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะฟังว่าเจ้าบ้านผู้เป็นมารดาสมคบกับจำเลยอื่นมีฝิ่นไว้ในครอบครองผิดกฎหมาย
พลตำรวจไปกับนายสิบตำรวจซึ่งเป็นหัวหน้าแล้วไปกระทำผิดขึ้นศาลลงโทษเบากว่านายสิบตำรวจผู้เป็นหัวหน้าได้
พลตำรวจไปกับนายสิบตำรวจซึ่งเป็นหัวหน้าแล้วไปกระทำผิดขึ้นศาลลงโทษเบากว่านายสิบตำรวจผู้เป็นหัวหน้าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs ลักทรัพย์: การแยกแยะบทบาทและขอบเขตความรับผิดของตัวการร่วม
จำเลยที่ 1 กับอีกคนหนึ่งถือมีดคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งขู่เข็ญจะทำร้ายเจ้าทรัพย์ดังนี้จำเลยที่ 1 มีผิดตามมาตรา 301
ส่วนจำเลยที่ 2,3 เมื่อได้ก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตามมาตรา 294ตอน 2 ประกอบด้วย มาตรา 293 ข้อ 7-11 และ มาตรา 294ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ ลงโทษได้
ส่วนจำเลยที่ 2,3 เมื่อได้ก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตามมาตรา 294ตอน 2 ประกอบด้วย มาตรา 293 ข้อ 7-11 และ มาตรา 294ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ ลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs ลักทรัพย์: การแบ่งแยกความรับผิดของจำเลยตามพฤติการณ์ที่แตกต่างกัน
จำเลยที่ 1 กับอีกคนหนึ่งถือมีดคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่คนร้ายอีกคนหนึ่งขู่เข็ญจะทำร้ายเจ้าทรัพย์ ดังนี้จำเลยที่ 1 มีผิด ตามมาตรา 301
ส่วนจำเลยที่2,3 เมื่อได้ปืนก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตาม ม. 294 ตอน 2 ประกอบด้วย ม.293 ข้อ 7-11 และ ม.294 ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ลงโทษได้
ส่วนจำเลยที่2,3 เมื่อได้ปืนก็ปลีกตัวไปเสียก่อนยังไม่ได้มีการขู่เข็ญเจ้าทรัพย์มาเกิดการขู่เข็ญขึ้นภายหลัง เป็นการขาดตอนมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2,3 แล้ว จำเลยทั้งสองจึงเพียงแต่มีผิดตาม ม. 294 ตอน 2 ประกอบด้วย ม.293 ข้อ 7-11 และ ม.294 ข้อ 1 เท่านั้น
ฟ้องว่าปล้นทรัพย์ได้ความว่าลักทรัพย์ลงโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบทำผิดอาญา: การกระทำของบุคคลอื่นย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบ หากไม่มีเจตนาหรือการตกลงร่วมกันตั้งแต่แรก
มาด้วยกัน 3 คน จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฟันผู้เสียหายแล้วคนทั้งสามก็วิ่งหนีไปด้วยกัน เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 คนเดียวเท่านั้น เพราะอีก 2 คน ไม่ทราบด้วยไม่ใช่เป็นเรื่องสมคบกันมากระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบทำผิดอาญา: หลักการพิจารณาความร่วมมือในการกระทำความผิด และการพิสูจน์เจตนา
มาด้วยกัน 3 คน จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฟันผู้เสียหาย แล้วคนทั้งสามก็วิ่งหนีไปด้วยกัน เป็นเรื่องฉะเพาะตัวจำเลยที่ 1 คนเดียวเท่านั้น เพราะอีก 2 คนไม่ทราบด้วย ไม่ใช่เป็นเรื่องสมคบกันมากระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกันปล้นทรัพย์, ปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงาน, และฆ่าเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่
ความผิดฐานปลอมตนไปกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามม.127 นั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้กระทำจะต้องแต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงานด้วย
เมื่อคดีได้ความชัดว่าจำเลยทุกคนกับพวกสมคบกันมากระทำการโจรกรรมโดยมีแผนการณ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานจะขอตรวจค้นปืนของผิดกฎหมายแล้วได้ดำเนินการโจรกรรมตามอุบายนี้ ฉะนั้น จำเลยอื่นที่มิได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)ก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปลอมตนมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานตาม ม.127 เช่นเดียวกับจำเลยที่แต่งเครื่องแบบด้วย
และเมื่อคดีได้ความว่าก่อนลงมือปล้น จำเลยกับพวกทุกคนได้ยินยอมให้คนบนบ้านไปตามผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมารู้เห็นในการที่จำเลยกับพวกจะทำการตรวจค้น ดังนี้ก็เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกได้พร้อมใจกันที่จะทำการต่อต้านขัดขวางในเมื่อผู้ใหญ่บ้านจะกระทำการตามหน้าที่ด้วยอุบายจะยึดตัวผู้ตายหรือต่อสู้ทำร้ายก็แล้วแต่เหตุการณ์ ฉะนั้นเมื่อจำเลยคนใดยิงผู้ใหญ่บ้าน การกระทำนั้นก็อยู่ในแผนการณ์ที่พวกจำเลยทุกคนร่วมรู้อยู่ก่อนแล้วนั่นเอง จำเลยทุกคนย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวการในการฆ่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ด้วย ผิดกับเรื่อง+ไปปล้นเอาทรัพย์อย่าง+ ฉะเพาะ แต่ผู้ร้ายบางคน+ไปยิงใครตายขึ้นโดยเพื่อ+อื่นไม่อาจคาดหมายได้
เมื่อคดีได้ความชัดว่าจำเลยทุกคนกับพวกสมคบกันมากระทำการโจรกรรมโดยมีแผนการณ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานจะขอตรวจค้นปืนของผิดกฎหมายแล้วได้ดำเนินการโจรกรรมตามอุบายนี้ ฉะนั้น จำเลยอื่นที่มิได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)ก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปลอมตนมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานตาม ม.127 เช่นเดียวกับจำเลยที่แต่งเครื่องแบบด้วย
และเมื่อคดีได้ความว่าก่อนลงมือปล้น จำเลยกับพวกทุกคนได้ยินยอมให้คนบนบ้านไปตามผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมารู้เห็นในการที่จำเลยกับพวกจะทำการตรวจค้น ดังนี้ก็เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกได้พร้อมใจกันที่จะทำการต่อต้านขัดขวางในเมื่อผู้ใหญ่บ้านจะกระทำการตามหน้าที่ด้วยอุบายจะยึดตัวผู้ตายหรือต่อสู้ทำร้ายก็แล้วแต่เหตุการณ์ ฉะนั้นเมื่อจำเลยคนใดยิงผู้ใหญ่บ้าน การกระทำนั้นก็อยู่ในแผนการณ์ที่พวกจำเลยทุกคนร่วมรู้อยู่ก่อนแล้วนั่นเอง จำเลยทุกคนย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวการในการฆ่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ด้วย ผิดกับเรื่อง+ไปปล้นเอาทรัพย์อย่าง+ ฉะเพาะ แต่ผู้ร้ายบางคน+ไปยิงใครตายขึ้นโดยเพื่อ+อื่นไม่อาจคาดหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงานและร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
ความผิดฐานปลอมตนไปกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา127นั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้กระทำจะต้องแต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงานด้วย
เมื่อคดีได้ความชัดว่าจำเลยทุกคนกับพวกสมคบกันมากระทำการโจรกรรมโดยมีแผนการณ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานจะขอตรวจค้นปืนของผิดกฎหมาย แล้วได้ดำเนินการโจรกรรมตามอุบายนี้ฉะนั้นจำเลยอื่นที่มิได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)ก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปลอมตนมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 127 เช่นเดียวกับจำเลยที่แต่งเครื่องแบบด้วยและเมื่อคดีได้ความว่าก่อนลงมือปล้นจำเลยกับพวกทุกคนได้ยินยอมให้คนบนบ้านไปตามผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมารู้เห็นในการที่จำเลยกับพวกจะทำการตรวจค้น ดังนี้ก็เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกได้พร้อมใจกันที่จะทำการต่อต้านขัดขวางในเมื่อผู้ใหญ่บ้านจะกระทำการตามหน้าที่ด้วยอุบายจะยึดตัวผู้ตายหรือต่อสู้ทำร้ายก็แล้วแต่เหตุการณ์ฉะนั้นเมื่อจำเลยคนใดยิงผู้ใหญ่บ้าน การกระทำนั้นก็อยู่ในแผนการณ์ที่พวกจำเลยทุกคนร่วมรู้ก่อนแล้วนั่นเองจำเลยทุกคนย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวการในการฆ่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ด้วย ผิดกับเรื่องสมคบกันไปปล้นเอาทรัพย์อย่างเดียวโดยเฉพาะ แต่ผู้ร้ายบางคนเกิดไปยิงใครตายขึ้นโดยเพื่อนผู้ร้ายอื่นไม่อาจคาดหมายได้
เมื่อคดีได้ความชัดว่าจำเลยทุกคนกับพวกสมคบกันมากระทำการโจรกรรมโดยมีแผนการณ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานจะขอตรวจค้นปืนของผิดกฎหมาย แล้วได้ดำเนินการโจรกรรมตามอุบายนี้ฉะนั้นจำเลยอื่นที่มิได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)ก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปลอมตนมากระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 127 เช่นเดียวกับจำเลยที่แต่งเครื่องแบบด้วยและเมื่อคดีได้ความว่าก่อนลงมือปล้นจำเลยกับพวกทุกคนได้ยินยอมให้คนบนบ้านไปตามผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านมารู้เห็นในการที่จำเลยกับพวกจะทำการตรวจค้น ดังนี้ก็เห็นได้ว่าจำเลยกับพวกได้พร้อมใจกันที่จะทำการต่อต้านขัดขวางในเมื่อผู้ใหญ่บ้านจะกระทำการตามหน้าที่ด้วยอุบายจะยึดตัวผู้ตายหรือต่อสู้ทำร้ายก็แล้วแต่เหตุการณ์ฉะนั้นเมื่อจำเลยคนใดยิงผู้ใหญ่บ้าน การกระทำนั้นก็อยู่ในแผนการณ์ที่พวกจำเลยทุกคนร่วมรู้ก่อนแล้วนั่นเองจำเลยทุกคนย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวการในการฆ่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ด้วย ผิดกับเรื่องสมคบกันไปปล้นเอาทรัพย์อย่างเดียวโดยเฉพาะ แต่ผู้ร้ายบางคนเกิดไปยิงใครตายขึ้นโดยเพื่อนผู้ร้ายอื่นไม่อาจคาดหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้สมคบกัน ศาลพิพากษาตามการกระทำของแต่ละคน
จำเลยกับพวกพากันไปท้าทายผู้มีชื่อผู้หนึ่งผู้เสียหายซึ่งเป็นคนไม่มีสาเหตุกันเข้ามาห้ามจำเลยได้ชกผู้เสียหายไปหนึ่งทีเพราะความเมา พวกจำเลยคนหนึ่งได้ใช้สนับมือชกผู้เสียหายถึงบาดเจ็บสาหัสจำเลยไม่ได้ซ้ำเติมอีกกรณีเป็นเรื่องต่างคนต่างทำ ไม่ใช่เรื่องสมคบกันจะลงโทษจำเลยฐานสมคบกับพวกทำร้ายร่างกายสาหัสไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้สมคบคิด ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์เฉพาะของการกระทำ
จำเลยกับพวกพากันไปท้าทายผู้มีชื่อผู้หนึ่ง ผู้เสียหายซึ่งเป็นคนไม่มีสาเหตุกันเข้ามาห้าม จำเลยได้ชกผู้เสียหายไปหนึ่งทีเพราะความเมา พวกจำเลยคนหนึ่งได้ใช้สนับมือชกผู้เสียหายถึงบาดเจ็บสาหัสจำเลยไม่ได้ซ้ำเติมอีก กรณีเป็นเรื่องต่างคนต่างทำ ไม่ใช้เรื่องสมคบกัน จะลงโทษจำเลยฐานสมคบกับพวกทำร้ายร่างกายสาหัสไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการนำสืบพยานในคดีอาญา: การสมคบคิดกับผู้รับสารภาพและความเชื่อมโยงกับความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดอาญา จำเลยคนหนึ่งรับสารภาพ แต่อีกคนหนึ่งปฏิเสธโจทก์จะขอสืบพะยานว่าจำเลยคนที่ปฏิเสธได้สมคบกับจำเลยที่รับสารภาพกระทำความผิดอาญานั้นก็ได้ ฉะเพาะในความหมายของการสมคบในนัยที่ว่า จำเลยนั้นได้ลงมือกระทำผิดตามฟ้องนั้นเอง เพราะคำว่าสมคบนั้นเป็นคำที่มีความหมายกว้าง