พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างเจ้าของร่วมกับลูกหนี้เจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่สุจริต ใช้ไม่ได้
ผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์กันภายหลังจากที่โจทก์นำยึดที่พิพาทเพียง 3 วัน ทั้งเมื่อวันที่เจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์รายนี้ ผู้ร้องก็เห็นและรู้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ สัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องและจำเลยจึงถือได้ว่ากระทำไปโดยไม่สุจริตและใช้ไม่ได้
การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าทรัพย์พิพาทร่วมกันกับจำเลย ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดไม่ได้จนกว่าจะได้มีการแบ่งปันกันโดยถูกต้อง การที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจะต้องปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่มีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด แต่ผู้ร้องมีทางเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของร่วมได้ทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287.
การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าทรัพย์พิพาทร่วมกันกับจำเลย ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดไม่ได้จนกว่าจะได้มีการแบ่งปันกันโดยถูกต้อง การที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจะต้องปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่มีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด แต่ผู้ร้องมีทางเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของร่วมได้ทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งทรัพย์หลังยึดทรัพย์: ความไม่สุจริตและการแบ่งปันสิทธิเจ้าของร่วม
ผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์กันภายหลังจากที่โจทก์นำยึดที่พิพาทเพียง 3 วันทั้งเมื่อวันที่เจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์รายนี้ ผู้ร้องก็เห็นและรู้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ สัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างผู้ร้องและจำเลยจึงถือว่าได้กระทำไปโดยไม่สุจริตและใช้ไม่ได้
การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าทรัพย์พิพาทร่วมกันกับจำเลยผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดไม่ได้จนกว่าจะได้มีการแบ่งปันกันโดยถูกต้องการที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจะต้องปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่มีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด แต่ผู้ร้องมีทางเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของร่วมได้ทางบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา287
การที่ผู้ร้องเป็นเจ้าทรัพย์พิพาทร่วมกันกับจำเลยผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดไม่ได้จนกว่าจะได้มีการแบ่งปันกันโดยถูกต้องการที่ผู้ร้องจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดจะต้องปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่มีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด แต่ผู้ร้องมีทางเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของร่วมได้ทางบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา287
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บริษัทจำกัดต้องรับผิดต่อการกระทำของตัวแทน แม้ไม่ได้แสดงเจตนาโดยตรง
อันการดำเนินกิจการของบริษัทจำกัดนั้นบริษัทหาจำต้องแสดงเจตนาโดยผู้แทนของบริษัทจำกัดเสมอไปไม่ บริษัทอาจถือเอาประโยชน์และต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนของบริษัทก็ได้
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลคนหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตราที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลยบริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่าไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้เห็นชัดแจ้งได้โดยง่ายคำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปได้ไม่
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลคนหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตราที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลยบริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่าไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้เห็นชัดแจ้งได้โดยง่ายคำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนบริษัทจำกัด: การรับผิดจากกิจการของตัวแทน แม้ไม่มีการแสดงเจตนาโดยตรงจากบริษัท
อัยการดำเนินกิจการบริษัทจำกัดนั้น บริษัทหาจำต้องแสดงเจตนาโดยผู้เทนของบริษัทจำกัดเสมอไปไม่ บริษัทอาจถือเอาประโยชน์และต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนของบริษัทก็ได้
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตามที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่ไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้ชัดเจนได้โดยง่าย คำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าจำไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปไม่ได้.
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นที่เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิดบุคคลหนึ่งหรือกว่านั้นให้เป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยในการซื้อขายกับบริษัทโจทก์ย่อมถือได้แล้วว่าบริษัทจำเลยต้องรับผิดจากการกระทำโดยทางตัวแทนที่ตนเชิดนั้น
ตามที่ประทับบนเอกสารปรากฏชัดเจนว่าเป็นตราชื่อบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยจะโต้แย้งว่ไม่ใช่หรือมีการปลอมแปลงอย่างไรก็น่าที่จำเลยจะสืบแสดงให้ชัดเจนได้โดยง่าย คำของพยานจำเลยที่เพียงเบิกความว่าจำไม่ได้หาทำให้ตราชื่อของบริษัทจำเลยเป็นตราปลอมไปไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านการรังวัดที่ดินโดยเจตนาสร้างความเสียหาย และความรับผิดชอบในค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากความล่าช้า
โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกโฉนดจำเลยซึ่งมีที่ดินติดต่อได้ ฟ้องคัดค้านและว่าจะขอรอสอบเขตเสียก่อน แต่แล้วก็ไม่จัดการอย่างไร โจทก์ร้องขอรังวัดครั้งที่สองก็ไปคัดค้านอีก จึงเป็นการกระทำซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหาย ต้องรับผิดฐานละเมิด
โจทก์จะแบ่งที่ดินขายใช้หนี้จำนอง จำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนด เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยจำนองนานขึ้น แต่โจทก์ละเลยมิได้บอกให้จำเลยรู้ถึงเสียค่าเสียหายอันผิดปกตินี้จึงนับว่าเป็นความผิดของโจทก์ประกอบอยู่ด้วย ศาลย่อมอาศัยพฤติการณ์นั้นประมาณกำหนดลดหย่อนค่าเสียหายลงได้ตามที่เห็นสมควร
บิดาไปคัดค้านการรังวัดที่ดินแทนบุตรอันเป็นการละเมิดผู้อื่น บุตรย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมด้วย.
โจทก์จะแบ่งที่ดินขายใช้หนี้จำนอง จำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนด เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยจำนองนานขึ้น แต่โจทก์ละเลยมิได้บอกให้จำเลยรู้ถึงเสียค่าเสียหายอันผิดปกตินี้จึงนับว่าเป็นความผิดของโจทก์ประกอบอยู่ด้วย ศาลย่อมอาศัยพฤติการณ์นั้นประมาณกำหนดลดหย่อนค่าเสียหายลงได้ตามที่เห็นสมควร
บิดาไปคัดค้านการรังวัดที่ดินแทนบุตรอันเป็นการละเมิดผู้อื่น บุตรย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านการรังวัดที่ดินโดยไม่สมเหตุผล และความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงการลดหย่อนค่าเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของผู้เสียหาย
โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกโฉนดจำเลยซึ่งมีที่ดินติดต่อได้ร้องคัดค้านและว่าจะขอรอสอบเขตเสียก่อน แต่แล้วก็ไม่จัดการอย่างไรโจทก์ร้องขอรังวัดครั้งที่สองก็ไปคัดค้านอีกจึงเป็นการกระทำซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหาย ต้องรับผิดฐานละเมิด
โจทก์จะแบ่งที่ดินขายใช้หนี้จำนอง จำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยจำนองนานขึ้นแต่โจทก์ละเลยมิได้บอกให้จำเลยรู้ถึงค่าเสียหายอันผิดปกตินี้ จึงนับว่าเป็นความผิดของโจทก์ประกอบอยู่ด้วย ศาลย่อมอาศัยพฤติการณ์นั้นประมาณกำหนดลดหย่อนค่าเสียหายลงได้ตามที่เห็นสมควร
บิดาไปคัดค้านการรังวัดที่ดินแทนบุตรอันเป็นการละเมิดผู้อื่นบุตรย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมด้วย
โจทก์จะแบ่งที่ดินขายใช้หนี้จำนอง จำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยจำนองนานขึ้นแต่โจทก์ละเลยมิได้บอกให้จำเลยรู้ถึงค่าเสียหายอันผิดปกตินี้ จึงนับว่าเป็นความผิดของโจทก์ประกอบอยู่ด้วย ศาลย่อมอาศัยพฤติการณ์นั้นประมาณกำหนดลดหย่อนค่าเสียหายลงได้ตามที่เห็นสมควร
บิดาไปคัดค้านการรังวัดที่ดินแทนบุตรอันเป็นการละเมิดผู้อื่นบุตรย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า 'หลังเที่ยง' และองค์ประกอบความผิดฐานพยายามฆ่า
กล่าวฟ้องว่าวันที่ 23 เวลากลางคืนหลังเที่ยงแสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเวลากลางคืนก่อน 24.00 น. ของวันที่ 23
คำว่าหลังเที่ยงย่อมเข้าใจได้ว่าหลังเที่ยงวันคือหลัง 12.00 น. ของวันนั้นหาใช่หลังเที่ยงคืนไม่
ปืนโดยปกติเป็นเครื่องประหารที่ร้ายแรงอยู่แล้ว ประกอบกับผู้บาดเจ็บถูกกระสุนปืนมีบาดแผล 9 แห่งซึ่งผู้ชันสูตรฯว่าถ้าถูกที่สำคัญอาจถึงตายได้ เช่นนี้จำเลยจึงต้องมีผิดฐานพยายามฆ่าคน
คำว่าหลังเที่ยงย่อมเข้าใจได้ว่าหลังเที่ยงวันคือหลัง 12.00 น. ของวันนั้นหาใช่หลังเที่ยงคืนไม่
ปืนโดยปกติเป็นเครื่องประหารที่ร้ายแรงอยู่แล้ว ประกอบกับผู้บาดเจ็บถูกกระสุนปืนมีบาดแผล 9 แห่งซึ่งผู้ชันสูตรฯว่าถ้าถูกที่สำคัญอาจถึงตายได้ เช่นนี้จำเลยจึงต้องมีผิดฐานพยายามฆ่าคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความ 'หลังเที่ยง' ในฟ้องอาญา และการประเมินความร้ายแรงของบาดแผลเพื่อพิสูจน์เจตนาฆ่า
กล่าวฟ้องว่าวันที่ 23 เวลากลางคืนหลังเที่ยงแสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเวลากลางคืนก่อน 24.00 น.ของวันที่ 23
คำว่าหลังเที่ยงย่อมเข้าใจได้ว่าหลังเที่ยงวันคือหลัง 12.00 น. ของวันนั้นหาใช่หลังเที่ยงคืนไม่
ปืนโดยปกติเป็นเครื่องประหารที่ร้ายแรงอยู่แล้ว ประกอบกับผู้บาดเจ็บถูกกระสุนปืนมีแผล 9 แห่งซึ่งผู้ชัณสูตร ฯ ว่าถ้าถูกที่สำคัญอาจถึงตายได้ เช่นนี้จำเลยจึงมีผิดฐานพยายามฆ่าคน.
คำว่าหลังเที่ยงย่อมเข้าใจได้ว่าหลังเที่ยงวันคือหลัง 12.00 น. ของวันนั้นหาใช่หลังเที่ยงคืนไม่
ปืนโดยปกติเป็นเครื่องประหารที่ร้ายแรงอยู่แล้ว ประกอบกับผู้บาดเจ็บถูกกระสุนปืนมีแผล 9 แห่งซึ่งผู้ชัณสูตร ฯ ว่าถ้าถูกที่สำคัญอาจถึงตายได้ เช่นนี้จำเลยจึงมีผิดฐานพยายามฆ่าคน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความถูกต้องของวันเวลากระทำผิดและการรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 6 พ.ค. 97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงซึ่งตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 6 แต่ผู้เสียหายและพยานโจทก์ว่าเหตุเกิดเวลากลางคืนขึ้น 3 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับ วันที่ 5 พ.ค. 97
เมื่อคดีได้ความว่าที่ต่างกันนี้เพราะในบรรยายฟ้องโจทก์นับวันเวลาตามสุริยคติคือนับต่อจาก 24.00 น. เป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงไปจนถึง 6.00 น. เป็นอีกวันหนึ่ง แต่พยานโจทก์ให้การตามวิธีนับทางจันทรคติสิ้นสุดลงในเวลาย่ำรุ่งเมื่อคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 97และเวลา 2 ยามไปแล้ว จึงตรงกับวันที่ 6 พ.ค. 97เวลากลางคืนก่อนเที่ยงข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง
เมื่อคดีได้ความว่าที่ต่างกันนี้เพราะในบรรยายฟ้องโจทก์นับวันเวลาตามสุริยคติคือนับต่อจาก 24.00 น. เป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงไปจนถึง 6.00 น. เป็นอีกวันหนึ่ง แต่พยานโจทก์ให้การตามวิธีนับทางจันทรคติสิ้นสุดลงในเวลาย่ำรุ่งเมื่อคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 97และเวลา 2 ยามไปแล้ว จึงตรงกับวันที่ 6 พ.ค. 97เวลากลางคืนก่อนเที่ยงข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างวันเวลานับตามสุริยคติและจันทรคติไม่กระทบต่อข้อเท็จจริงในฟ้อง การรับฟังพยานหลักฐานต้องมีน้ำหนักพอสมควร
เจ้าทุกข์บรรยายฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 6 พ.ค.97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงซึ่งตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 6 แต่ผู้เสียหายและพยานโจทก์ว่าเกิดเหตุเวลากลางคืนขึ้น 3 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันที่ 5 พ.ค.97
เมื่อคดีได้ความว่าที่ต่างกันนี้เพราะในบรรยายฟ้องโจทก์นับวันเวลาตามสุริยคติคือนับต่อจาก 24.00 น. เป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงไปจนถึง 6.00 น. เป็นอีกวันหนึ่ง แต่ชพยานโจทก์ให้การตามวิธีนับทางจันทรคติสิ้นสุดลงในเวลาย่ำรุ่ง เมื่อคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ค.97 และเวลา 2 ยามไปแล้ว จึงตรงกับวันที่ 6 พ.ค.97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง.
เมื่อคดีได้ความว่าที่ต่างกันนี้เพราะในบรรยายฟ้องโจทก์นับวันเวลาตามสุริยคติคือนับต่อจาก 24.00 น. เป็นเวลากลางคืนก่อนเที่ยงไปจนถึง 6.00 น. เป็นอีกวันหนึ่ง แต่ชพยานโจทก์ให้การตามวิธีนับทางจันทรคติสิ้นสุดลงในเวลาย่ำรุ่ง เมื่อคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พ.ค.97 และเวลา 2 ยามไปแล้ว จึงตรงกับวันที่ 6 พ.ค.97 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง.