พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้เงินต้องมีลายมือชื่อผู้ให้ยืม ใบรับชำระหนี้ที่มีเพียงลายนิ้วมือไม่ถือเป็นหลักฐานตามกฎหมาย
การที่จำเลยอ้างว่าใบรับชำระหนี้ซึ่งมีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือหายแล้วนำพยานบุคคลเข้าสืบว่า ใบรับนั้นโจทก์ผู้ให้ยืมพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไว้ และมีคนลงนามในใบรับนั้นเพียงคนเดียวเช่นนี้ ไม่เป็นการแสดงว่าโจทก์ผู้ให้ยืมได้ลงลายมือชื่อตามกฎหมาย จึงเท่ากับจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการชำระหนี้ต้องเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม การอ้างใบรับหายแล้วอ้างพยานบุคคลไม่เพียงพอ
การที่จำเลยอ้างว่าใบรับชำระหนี้ซึ่งมีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือหาย แล้วนำพยานบุคคลเข้าสืบว่า ใบรับนั้นโจทก์ผู้ให้ยืมพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไว้ และมีคนลงนามในใบรับนั้นเพียงคนเดียวเช่นนี้ ไม่เป็นการแสดงว่าโจทก์ผู้ให้ยืมได้ลงลายมือชื่อตามกฎหมาย จึงเท่ากับจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1559/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลพลเรือน: คดีฟ้องเท็จไม่ได้เกี่ยวพันกับคดีเดิมที่ศาลพลเรือน
จำเลยซึ่งเป็นทหารประจำการ ฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นราษฎรต่อศาลพลเรือน หาว่าบุกรุก ฯลฯ โจทก์จึงกลับฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนนั้นบ้าง หาว่าฟ้องเท็จและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175,177 ดังนี้ คดีที่โจทก์ฟ้องหาใช่คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือนตามพระธรรมนูญศาลทหารมาตรา 14(2) ไม่เป็นแต่คดีที่เกิดขึ้นจากคดีของศาลพลเรือนเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยยังศาลพลเรือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาล้มละลายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ตามข้อตกลง
การที่เจ้าหนี้บางรายในคดีล้มละลายเสนอเงื่อนไขในการประชุมพิจารณาคำขอประนอมหนี้ว่า ถ้าลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ตาม+ในการประนอมหนี้ จะยอมถอนคำขอรับชำระหนี้นั้น เป็นคำมั่นที่จะให้เจ้าหนี้อื่นได้รับผลเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ หาใช่เป็นการค้ำประกันเพื่อให้เป็นการประนอมหนี้เด็ดขาดหรือให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการที่ศาลจะพิพากษาให้ล้มละลายไม่ฉะนั้น เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามที่ได้ตกลงไว้ ศาลย่อมมีอำนาจยกเลิกการประนอมประหนี้ และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีทางสาธารณะ: การใช้ทางโดยไม่มีหลักฐานทางกฎหมายไม่ทำให้เป็นทางสาธารณะ
ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า เหตุใดทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณะและสภาพของทางตามที่ได้ความในทางพิจารณาก็ไม่พอให้ฟังว่าเป็นทางที่มีขึ้น ทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมายโจทก์ก็จะขอให้บังคับให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านไปนั้นเปิดทางให้ใช้เป็นทางสาธารณะต่อไปหาได้ไม่
การที่มีพยานเบิกความว่า คนในตำบลหนึ่งกับอีกตำบลหนึ่งจะไปมาก็ต้องผ่านทางพิพาท การที่ต้องผ่านทางนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ที่ดินซึ่งทางพิพาทผ่านเข้าไปนั้นเจ้าของไม่ได้กั้นไม่มีคันเขตรั้ว บุคคลก็อาจพาปศุสัตว์ผ่านหรือเข้าไปได้อยู่แล้ว หรือแม้จะมีคันเขตรั้ว การผ่านหรือเข้าไปเช่นนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้น ทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณะเมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลก็บังคับจำเลยให้เปิดทางพิพาทเป็นทางสาธารณะไม่ได้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทมา15 ปีแล้ว โดยไม่มีใครห้ามจำเลยจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่
การที่มีพยานเบิกความว่า คนในตำบลหนึ่งกับอีกตำบลหนึ่งจะไปมาก็ต้องผ่านทางพิพาท การที่ต้องผ่านทางนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ที่ดินซึ่งทางพิพาทผ่านเข้าไปนั้นเจ้าของไม่ได้กั้นไม่มีคันเขตรั้ว บุคคลก็อาจพาปศุสัตว์ผ่านหรือเข้าไปได้อยู่แล้ว หรือแม้จะมีคันเขตรั้ว การผ่านหรือเข้าไปเช่นนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้น ทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณะเมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลก็บังคับจำเลยให้เปิดทางพิพาทเป็นทางสาธารณะไม่ได้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทมา15 ปีแล้ว โดยไม่มีใครห้ามจำเลยจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีทาง通行 (ทางภาระจำยอม) ที่ศาลไม่เห็นว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ แม้มีการใช้ทางต่อเนื่อง
ตามคำฟ้องไม่ปรากฎว่า เหตุใดทางพิพาท จึงเป็นทางสาธารณ และสภาพของทางตามที่ได้ความในทางพิจารณาก็ไม่พอฟังว่าเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย โจทก์ก็จะขอให้บังคับให้เจ้าของที่ดินที่ทางพิพาทผ่านไปนั้น เปิดทางให้ใช้เป็นทางสาธารณต่อไปหาได้ไม่
การที่มีพยานเบิกความว่า คนในตำบลหนึ่งกับอีกตำบลหนึ่งจะไปมาก็ต้องผ่านทางพิพาทการที่ต้องผ่านทางนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ที่ดินซึ่งทางพิพาทผ่านเข้าไปนั้นเจ้าของไม่ได้กั้น ไม่มีกันเขตรั้ว บุคคลก็อาจหาปศุสัตว์หรือผ่านเข้าไปได้อยู่แล้ว หรือแม้จะมีกันเขตรั้วการผ่านหรือเข้าไปเช่นนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณ เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณ ศาลก็บังคับจำเลยให้เปิดทางพิพาทเป็นทางสาธารณไม่ได้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพากษา 15 ปี แล้วโดยไม่มีใครห้ามจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่
การที่มีพยานเบิกความว่า คนในตำบลหนึ่งกับอีกตำบลหนึ่งจะไปมาก็ต้องผ่านทางพิพาทการที่ต้องผ่านทางนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ที่ดินซึ่งทางพิพาทผ่านเข้าไปนั้นเจ้าของไม่ได้กั้น ไม่มีกันเขตรั้ว บุคคลก็อาจหาปศุสัตว์หรือผ่านเข้าไปได้อยู่แล้ว หรือแม้จะมีกันเขตรั้วการผ่านหรือเข้าไปเช่นนี้ก็ไม่ทำให้ทางพิพาทเป็นทางที่มีขึ้นทำขึ้นสำหรับประชาชนใช้ในการจราจรตามกฎหมาย
ตามคำฟ้องแสดงว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณ เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณ ศาลก็บังคับจำเลยให้เปิดทางพิพาทเป็นทางสาธารณไม่ได้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพากษา 15 ปี แล้วโดยไม่มีใครห้ามจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำร้องขอพิจารณาใหม่หลังขาดนัด - การตีความมาตรา 207 และผลกระทบจากการยกเลิกมาตรา 204
การตีความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 207 (1) จะต้องตีความอย่างจำกัด อนุมาตรานี้บัญญัติท้าวถึงกรณีตามมาตรา 204 เมื่อมาตรา 204 ถูกยกเลิกไปแล้ว ผลก็เป็นเสมือนว่ามาตรา 207(1) ถูกยกเลิกไปด้วยโดยปริยาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และยังติดใจขอให้ไต่สวนคำร้องอยู่ ศาลพึงไต่สวนพยานให้สิ้นกระแสความเสียหาย จะพิจารณาพฤติการณ์ต่าง ๆ ตามสำนวนแล้วฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การหรือยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามนัยมาตรา 205 (3) แล้วสั่งยกคำร้องเสียดังนี้ หาชอบไม่
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และยังติดใจขอให้ไต่สวนคำร้องอยู่ ศาลพึงไต่สวนพยานให้สิ้นกระแสความเสียหาย จะพิจารณาพฤติการณ์ต่าง ๆ ตามสำนวนแล้วฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การหรือยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามนัยมาตรา 205 (3) แล้วสั่งยกคำร้องเสียดังนี้ หาชอบไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความมาตรา 207(1) พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง และการไต่สวนพยานในคำร้องพิจารณาคดีใหม่
การตีความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 207(1)จะต้องตีความอย่างจำกัด อนุมาตรานี้บัญญัติท้าวถึงกรณีตามมาตรา 204 เมื่อมาตรา 204 ถูกยกเลิกไปแล้ว ผลก็เป็นเสมือนว่ามาตรา 207(1) ถูกยกเลิกไปด้วยโดยปริยาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และยังติดใจขอให้ไต่สวนคำร้องอยู่ ศาลควรไต่สวนพยานให้สิ้นกระแสความเสียก่อนจะพิจารณาพฤติการณ์ต่างๆ ตามสำนวนแล้วฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาต ให้จำเลยยื่นคำให้การหรือยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามนัยมาตรา 205(3)แล้วสั่งยกคำร้องเสียดังนี้ หาชอบไม่
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และยังติดใจขอให้ไต่สวนคำร้องอยู่ ศาลควรไต่สวนพยานให้สิ้นกระแสความเสียก่อนจะพิจารณาพฤติการณ์ต่างๆ ตามสำนวนแล้วฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาต ให้จำเลยยื่นคำให้การหรือยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามนัยมาตรา 205(3)แล้วสั่งยกคำร้องเสียดังนี้ หาชอบไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1526/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วันเวลาการกระทำผิดเป็นสาระสำคัญ หากไม่ตรงกับที่ฟ้องร้อง ศาลต้องยกฟ้อง
คดีอาญา โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยขู่เข็ญให้รับว่ารับจ้างมาฆ่าจำเลย ขณะผู้เสียหายถูกกักขังคือ ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม2505 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 9 มกราคม 2505 เวลากลางวัน เท่านั้นส่วนวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จขึ้นนั้น โจทก์คงระบุยืนยันไว้ชัดแจ้งในตอนต้นว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2505 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณา ข้อแตกต่างในเรื่องวันเวลาที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดนี้เป็นข้อสารสำคัญซึ่งตามกฎหมายให้ศาลต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีข่มขืนฯ และประเด็นการเป็นความผิดฐานโทรมหญิง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายสำเร็จความใคร่คนละหนึ่งครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 โดยมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และอ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 281 นั้น เห็นได้ว่าโจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานโทรมหญิงด้วย เมื่อผู้เสียหายกับจำเลยตกลงยอมความกัน คดีย่อมระงับไป