พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเขตจังหวัดชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่มีกฎหมายเฉพาะ แต่กระทรวงมหาดไทยมอบอำนาจข้าหลวงตรวจการดำเนินการได้
ในปี พ.ศ.2498 ยังไม่มีบทกฎหมายหรือกฎข้อบังคับใดที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะถึงวิธีปฏิบัติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด เมื่อไม่แน่ว่าท้องที่หมู่บ้านหนึ่งอยู่ในเขตของจังหวัดใดในระหว่าง 2 จังหวัด ทีมีเขตติดต่อกัน กระทรวงมหาดไทยมอบให้ข้าหลวงตรวจการมหาดไทยภาคเป็นประธานของคณะกรรมการ ให้มีอำนาจกำหนดเขตระหว่าง 2 จังหวัดนี้ให้แน่นอน แล้วว่าการกำหนดเขตระหว่างจังหวัดนี้ไม่จำต้องทำเป็นประกาศกำหนดเขตตำบล โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457เพียงแต่ทำเป็นบันทึกข้อตกลงระหว่างจังหวัดทั้งสองพร้อมทั้งทำแผนที่แสดงแนวเขตให้ชัดแจ้งเก็บไว้เป็นหลักฐานทั้งทำแผนที่แนวเขตให้ชัดแจ้งเก็บไว้เป็นหลักฐานก็พอแล้ว ข้อหลวงตรวจการ ฯ ภาคจึงปฏิบัติการตามคำสั่งดังนี้ การกำหนดเขตจังหวัดทั้งสองจึงเป็นการชอบแล้ว
ในปี พ.ศ.2498 นั้น ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้ถูกยุบเลิกไปก่อนแล้ว ไม่มีสมุหเทศาภิบาลที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะขออนุมัติในการที่จะเปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 6 แต่เมื่ออำนาจหน้าที่ในการบริหารตรวจการของสมุหเทศาภิบาลย่อมตกไปอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงมหาดไทยสั่งการและมอบให้ข้าหลวงตรวจการ ฯ ภาค เป็นผู้ดำเนินการกำหนดเขตจังหวัดให้แน่นอน การที่ข้าหลวงตรวจการ ภาคกำหนดเขตจังหวัดจึงเป็นการชอบ แม้จะมีผลเป็น+เปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลด้วย ในปี พ.ศ.2497 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 ออกใช้แล้ว การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดหรือเขตอำเภอจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 32 และ 39 ผู้ว่าราชการภาคไม่มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดได้ ถ้าผู้ว่าราชการภาคกำหนดแนวเขตจังหวัดใหม่ ทำให้ที่พิพาทซึ่งเคยอยู่ในเขตจังหวัดจะต้องไปอยู่ในเขตจังหวัด บ.ก็ยังต้องถือว่าที่พิพาทยังขึ้นอยู่กับจังหวัด จ. ศาลจังหวัด จ. มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับที่พิพาท
ในปี พ.ศ.2498 นั้น ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้ถูกยุบเลิกไปก่อนแล้ว ไม่มีสมุหเทศาภิบาลที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะขออนุมัติในการที่จะเปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 6 แต่เมื่ออำนาจหน้าที่ในการบริหารตรวจการของสมุหเทศาภิบาลย่อมตกไปอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงมหาดไทยสั่งการและมอบให้ข้าหลวงตรวจการ ฯ ภาค เป็นผู้ดำเนินการกำหนดเขตจังหวัดให้แน่นอน การที่ข้าหลวงตรวจการ ภาคกำหนดเขตจังหวัดจึงเป็นการชอบ แม้จะมีผลเป็น+เปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลด้วย ในปี พ.ศ.2497 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 ออกใช้แล้ว การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดหรือเขตอำเภอจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 32 และ 39 ผู้ว่าราชการภาคไม่มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดได้ ถ้าผู้ว่าราชการภาคกำหนดแนวเขตจังหวัดใหม่ ทำให้ที่พิพาทซึ่งเคยอยู่ในเขตจังหวัดจะต้องไปอยู่ในเขตจังหวัด บ.ก็ยังต้องถือว่าที่พิพาทยังขึ้นอยู่กับจังหวัด จ. ศาลจังหวัด จ. มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสำคัญให้คู่หมั้นไม่ยอมสมรส: การหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง และข่าวลือความสัมพันธ์ชู้สาวที่ไม่เป็นความจริง
ชายคู่หมั้นตั้งรังเกียจหญิงคู่หมั้น โดยหญิงคู่หมั้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานซึ่งชายอื่นขี่เพื่อไปดูภาพยนตร์ในเวลากลางคืน มีเพื่อนไปด้วยกันรวม 7 คน แล้วชาวบ้านคิดเดาและลือกันว่าหญิงนั้นมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับชายที่ขี่จักรยานนั้น การที่หญิงคู่หมั้นกระทำเพียงเท่านี้ แล้วต่อมาหญิงนั้นไม่ยอมสมรสกับชายคู่หมั้น ก็จะถือว่าเพราะมีเหตุผลสำคัญอันเกิดแต่หญิงนั้นหาได้ไม่ หญิงนั้นจึงมิต้องคืนของหมั้นเพราะเหตุเช่นนี้
ชายคู่หมั้นหมิ่นประมาทหญิงคู่หมั้นซึ่งเป็นการร้ายแรงตามความหมายในมาตรา 1500(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมเป็นเหตุผลอันสำคัญอันเกิดแต่ชายคู่หมั้นซึ่งหญิงคู่หมั้นจะไม่ยอมสมรสกับชายนั้นโดยมิต้องคืนของหมั้นได้
ถ้อยคำที่ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงตามความหมายในมาตรา 1500(2)
ชายคู่หมั้นหมิ่นประมาทหญิงคู่หมั้นซึ่งเป็นการร้ายแรงตามความหมายในมาตรา 1500(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมเป็นเหตุผลอันสำคัญอันเกิดแต่ชายคู่หมั้นซึ่งหญิงคู่หมั้นจะไม่ยอมสมรสกับชายนั้นโดยมิต้องคืนของหมั้นได้
ถ้อยคำที่ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงตามความหมายในมาตรา 1500(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการประเมินค่ารายปีสำหรับภาษีโรงเรือน แม้ค่าเช่าเดิมจะสูงขึ้น และการใช้ค่ารายปีที่สูงขึ้นเป็นหลักในการประเมินภาษีปีต่อ
ถ้ามีเหตุอันบ่งให้เห็นว่า ค่าเช่าอันเป็นหลักคำนวณค่ารายปีมิใช่จำนวนเงินอันสมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจแก้หรือคำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้ แม้จะสูงขึ้นจากเดิมก็ตาม เมื่อค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วสูงขึ้น ดังนี้ ค่ารายปีนั้นก็คงนำมาใช้เป็นหลักสำหรับคำนวณค่าภาษีที่จะต้องเสียในปีต่อมาโดยไม่จำกัดว่าโรงเรือนที่ถูกประเมินนั้นจะได้ให้เช่ามาแล้วหรือเพิ่งจะให้เช่าเป็นครั้งแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกัน, การผิดนัดชำระหนี้, และการบังคับชำระหนี้ตามสัญญา
ใบมอบอำนาจระบุว่ามอบอำนาจให้ ช.ทวงถามเงินกู้จากจ.และย. แต่งตั้งทนายฟ้องร้องคดีจนถึงที่สุด ดังนี้เป็นการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวกระทำการอันเดียว มอบครั้งเดียว มอบให้กระทำการครั้งเดียว เมื่อปิดอากรแสตมป์ 5 บาท ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
การปิดแสตมป์ในตราสารเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งประมวลรัษฎากรมิได้บัญญัติว่าต้องปิดก่อนหรือระหว่างการนำสืบ
ตามสัญญาได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามกำหนด ก็ตกเป็นผู้ผิดนัด เมื่อลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้จึงชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้นไม่จำต้องฟ้องลูกหนี้ก่อน และเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ค้ำประกันขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อน ทั้งผู้ค้ำประกันยังเบิกความว่าไม่ทราบว่าลูกหนี้อยู่ที่ไหนจะมีเงินพอชำระหนี้ได้หรือไม่ ดังนี้ ผู้ค้ำประกันไม่อาจจะอ้างได้ว่าเจ้าหนี้ต้องฟ้องลูกหนี้ก่อนจึงจะฟ้องตนได้
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เงิน ลูกหนี้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตามกฎหมาย และเมื่อจำเลยค้ำประกันโดยมิได้จำกัดจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดการค้ำประกันนี้จึงคุ้มถึงดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ค้างชำระด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าเจ้าหนี้จะมีหลักฐานในการทวงถามจำเลยหรือไม่ จะพอฟังว่าได้ทวงถามแล้วหรือไม่ก็ตาม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยโดยระบุเงินต้นอัตราระยะเวลาและจำนวนรวมมาด้วย แต่จำนวนที่ขอมานั้นต่ำกว่าจำนวนที่ควรจะคำนวณได้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาที่โจทก์ขอ แต่จำกัดไว้ด้วยว่าไม่เกินจำนวนที่โจทก์ระบุขอมา (เจ้าหนี้ฟ้องผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ตามสัญญาที่ลูกหนี้ทำไว้แก่เจ้าหนี้ โดยมิได้ฟ้องลูกหนี้ด้วย ไม่ว่าเจ้าหนี้จะได้เรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้นั้นก่อนฟ้องหรือไม่ก็ตาม ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมความที่ตนถูกเจ้าหนี้ฟ้องนั้น)
การปิดแสตมป์ในตราสารเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งประมวลรัษฎากรมิได้บัญญัติว่าต้องปิดก่อนหรือระหว่างการนำสืบ
ตามสัญญาได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตามกำหนด ก็ตกเป็นผู้ผิดนัด เมื่อลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้จึงชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้นไม่จำต้องฟ้องลูกหนี้ก่อน และเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ค้ำประกันขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อน ทั้งผู้ค้ำประกันยังเบิกความว่าไม่ทราบว่าลูกหนี้อยู่ที่ไหนจะมีเงินพอชำระหนี้ได้หรือไม่ ดังนี้ ผู้ค้ำประกันไม่อาจจะอ้างได้ว่าเจ้าหนี้ต้องฟ้องลูกหนี้ก่อนจึงจะฟ้องตนได้
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เงิน ลูกหนี้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตามกฎหมาย และเมื่อจำเลยค้ำประกันโดยมิได้จำกัดจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดการค้ำประกันนี้จึงคุ้มถึงดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ค้างชำระด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าเจ้าหนี้จะมีหลักฐานในการทวงถามจำเลยหรือไม่ จะพอฟังว่าได้ทวงถามแล้วหรือไม่ก็ตาม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยโดยระบุเงินต้นอัตราระยะเวลาและจำนวนรวมมาด้วย แต่จำนวนที่ขอมานั้นต่ำกว่าจำนวนที่ควรจะคำนวณได้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาที่โจทก์ขอ แต่จำกัดไว้ด้วยว่าไม่เกินจำนวนที่โจทก์ระบุขอมา (เจ้าหนี้ฟ้องผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ตามสัญญาที่ลูกหนี้ทำไว้แก่เจ้าหนี้ โดยมิได้ฟ้องลูกหนี้ด้วย ไม่ว่าเจ้าหนี้จะได้เรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้นั้นก่อนฟ้องหรือไม่ก็ตาม ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมความที่ตนถูกเจ้าหนี้ฟ้องนั้น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216-1223/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าสินค้าหลีกเลี่ยงภาษี ไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ศุลกากร ม.38 หากไม่ผ่านท่าอนุมัติ
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38 เป็นเรื่องที่ใช้บังคับกับนายเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทาง+อนุมัติซึ่งไปถึงที่เป็นเขตศุลกากรโดยชอบ ในกรณีดังกล่าว นายเรือจึงจะมีหน้าที่ต้องทำรายงานยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เรือมาถึงท่า และกฎหมายมาตรานี้บังคับด้วยว่า นายเรือจะต้องแถลงรายละเอียดว่าด้วยสินค้านั้น ๆ ลงไว้ในรายงานด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการควบคุมสินค้าที่นำเข้าโดยชอบให้รัดกุมและเพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ทำการตรวจสินค้า และเรียกเก็บภาษีได้โดยสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกหรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้องยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกหรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้องยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216-1223/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าสินค้าโดยหลีกเลี่ยงอากร ไม่ถือเป็นละเว้นการทำรายงานตามกฎหมายศุลกากร
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38 เป็นเรื่องที่ใช้บังคับกับนายเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางท่าอนุมัติซึ่งไปถึงท่าที่เป็นเขตศุลกากรโดยชอบในกรณีดังกล่าว นายเรือจึงจะมีหน้าที่ต้องทำรายงานยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เรือมาถึงท่า และกฎหมายมาตรานี้บังคับด้วยว่านายเรือจะต้องแถลงรายละเอียดว่าด้วยสินค้านั้นๆ ลงไว้ในรายงานด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการควบคุมสินค้าที่นำเข้าโดยชอบให้รัดกุมและเพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ทำการตรวจสินค้าและเรียกเก็บภาษีได้โดยสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกเรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้อง ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกเรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้อง ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง สัญญาที่ทำไว้ไม่ตรงเจตนาจริง จำนวนหนี้เป็นโมฆะหากเกินเงินทดรอง
หากการที่จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ส่อแสดงว่าในใจจริงของจำเลยมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันเต็มตามจำนวนในสัญญากู้ แต่เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามสัญญากู้เพียงเท่าจำนวนเงินที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองทยอยแทนจำเลยเป็นคราวๆไปจริงเท่านั้น โดยโจทก์ก็ได้รู้ถึงเจตนาของจำเลยเช่นว่านี้แล้ว จำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องตามสัญญากู้เกินกว่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปจริง ย่อมเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำประโยชน์ในที่ดินที่ยังไม่ได้ทำประโยชน์: การบุกรุกถือเป็นการละเมิดสิทธิ แม้ยังไม่มีกรรมสิทธิ์
จำเลยเข้าถากถางและปลูกพืชในที่ดินซึ่งโจทก์ได้ร้องขอจับจองและได้รับใบจองแล้ว แม้โจทก์จะยังไม่ได้เข้าครอบครองและไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการละเมิดสิทธิในอันที่จะเข้าทำประโยชน์ในที่นั้นของโจทก์แล้ว จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำว่า 'เอกสาร' ในมาตรา 369 อาญา ไม่รวมถึงใบสั่งตำรวจ เพราะไม่ใช่ประกาศหรือโฆษณา
คำว่า เอกสาร ที่เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ปิดหรือแสดงไว้ตามมาตรา 369 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น หมายถึงเอกสารที่ปิดหรือแสดงไว้ในลักษณะทำนองประกาศหรือภาพโฆษณา หาได้หมายถึงคำสั่งหรือใบสั่งถึงบุคคลเฉพาะตัวเช่นใบสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจจราจรที่ให้ไปรายงานตัวไม่ฉะนั้น เมื่อจำเลยได้รับใบสั่งดังกล่าวก็ถือว่าหนังสือนั้นได้ใช้สมประโยชน์ตามนั้นแล้ว ถึงจำเลยจะฉีกทำลายเสียก็หามีความผิดตามมาตรานี้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมปลอมแปลงเอกสาร แม้ไม่ได้ลงมือเอง หากมีเจตนาและร่วมกระทำถือเป็นความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ จ้าง วานผู้อื่นให้ปลอมเอกสารแล้วจำเลยได้นำเอกสารปลอมนั้นไปใช้ ขอให้ลงโทษ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้ปลอมเอกสารด้วยมือจำเลยเอง แต่ก็ได้ร่วมกระทำโดยจัดให้ผู้อื่นกับพวกปลอมเอกสารขึ้น แล้วจำเลยนำเอกสารนั้นไปใช้ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง