พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอาศัยใช้ได้เฉพาะโรงเรือน การใช้ที่ดินโดยได้รับอนุญาตไม่จำเป็นต้องบอกเลิกสิทธิอาศัยล่วงหน้า
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1402 สิทธิอาศัยใช้ได้แต่เรื่องอาศัยโรงเรือนเท่านั้น การที่โจทก์ยอมให้จำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์ โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าจึงไม่ใช่เรื่องอาศัย แต่เป็นการได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้อื่นโดยได้รับอนุญาต ฉะนั้นจะนำเรื่องการบอกเลิกล่วงหน้าแก่ผู้อาศัยตามมาตรา 1403 วรรค 2 มาใช้แก่กรณีที่ดินหาได้ไม่
ตามฟ้องโจทก์มีใจความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยแสดงอาการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยอ้างว่าที่รายนี้เป็นของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อเกิดพิพาทกันขึ้นแล้วว่าที่ดินเป็นของฝ่ายใดเช่นนี้แม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ด้วยว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยโจทก์ให้อาศัยก็ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบอกเลิกล่วงหน้าแก่จำเลยว่าโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว
ตามฟ้องโจทก์มีใจความว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยแสดงอาการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยอ้างว่าที่รายนี้เป็นของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อเกิดพิพาทกันขึ้นแล้วว่าที่ดินเป็นของฝ่ายใดเช่นนี้แม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ด้วยว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยโจทก์ให้อาศัยก็ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบอกเลิกล่วงหน้าแก่จำเลยว่าโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของทนายความ, อายุความ 2 ปี, ลูกหนี้ร่วม, การยกอายุความ, การชำระหนี้
การจ้างว่าความไม่ใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงาน แต่เป็นสัญญาจ้างทำของ
สิทธิเรียกร้องที่หมอความหรือทนายความจะเรียกเอาค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไป มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (15)
จำเลยให้การเพียงว่า "คดีของโจทก์ขาดอายุความ" ถือว่าจำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องกล่าวให้แจ้งชัดในคำให้การว่ากำหนดอายุความให้เริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อใด
การเป็นทนายความว่าความให้จำเลยตลอดทั้งสามศาล ตามธรรมดา ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายก็จะต้องสิ้นสุดลงในเมื่อคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด และต้องถือว่าตัวความได้รับมอบการที่ทำของทนายความในเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดชั้นฎีกา กำหนดอายุความเรียกร้องสินจ้างของทนายความก็ย่อมเริ่มนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษา
จำเลยหลายคนเป็นลูกหนี้ร่วมกันต่อโจทก์ แต่จำเลยคนหนึ่งแต่ผู้เดียวเป็นผู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะนำการยกอายุความขึ้นต่อสู้ของจำเลยผู้นั้นมาเป็นมูลฟ้องคดีสำหรับจำเลยอื่นที่ไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้
สิทธิเรียกร้องที่หมอความหรือทนายความจะเรียกเอาค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไป มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (15)
จำเลยให้การเพียงว่า "คดีของโจทก์ขาดอายุความ" ถือว่าจำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องกล่าวให้แจ้งชัดในคำให้การว่ากำหนดอายุความให้เริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อใด
การเป็นทนายความว่าความให้จำเลยตลอดทั้งสามศาล ตามธรรมดา ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้ว หน้าที่ของทนายก็จะต้องสิ้นสุดลงในเมื่อคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด และต้องถือว่าตัวความได้รับมอบการที่ทำของทนายความในเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดชั้นฎีกา กำหนดอายุความเรียกร้องสินจ้างของทนายความก็ย่อมเริ่มนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษา
จำเลยหลายคนเป็นลูกหนี้ร่วมกันต่อโจทก์ แต่จำเลยคนหนึ่งแต่ผู้เดียวเป็นผู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะนำการยกอายุความขึ้นต่อสู้ของจำเลยผู้นั้นมาเป็นมูลฟ้องคดีสำหรับจำเลยอื่นที่ไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของ vs. จ้างแรงงาน, อายุความทนาย, ลูกหนี้ร่วม, การยกอายุความ
การจ้างว่าความไม่ใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงานแต่เป็นสัญญาจ้างทำของ
สิทธิเรียกร้องที่หมอความหรือทนายความจะเรียกเอาค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไป มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15)
จำเลยให้การเพียงว่า 'คดีของโจทก์ขาดอายุความ' ถือว่าจำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องกล่าวให้แจ้งชัดในคำให้การว่ากำหนดอายุความให้เริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อใด
การเป็นทนายความว่าความให้จำเลยตลอดทั้งสามศาลตามธรรมดา ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้วหน้าที่ของทนายก็จะต้องสิ้นสุดลงในเมื่อมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดและต้องถือว่าตัวความได้รับมอบการที่ทำของทนายความในเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดชั้นฎีกากำหนดอายุความเรียกร้องสินจ้างของทนายความก็ย่อมเริ่มนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษา
จำเลยหลายคนเป็นลูกหนี้ร่วมกันต่อโจทก์ แต่จำเลยคนหนึ่งแต่ผู้เดียวเป็นผู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะนำการยกอายุความขึ้นต่อสู้ของจำเลยผู้นั้นมาเป็นมูลยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยอื่นที่ไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้
สิทธิเรียกร้องที่หมอความหรือทนายความจะเรียกเอาค่าธรรมเนียมและค่าที่ได้ออกทดรองไป มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15)
จำเลยให้การเพียงว่า 'คดีของโจทก์ขาดอายุความ' ถือว่าจำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องกล่าวให้แจ้งชัดในคำให้การว่ากำหนดอายุความให้เริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อใด
การเป็นทนายความว่าความให้จำเลยตลอดทั้งสามศาลตามธรรมดา ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการในการบังคับคดีด้วยแล้วหน้าที่ของทนายก็จะต้องสิ้นสุดลงในเมื่อมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดและต้องถือว่าตัวความได้รับมอบการที่ทำของทนายความในเมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดชั้นฎีกากำหนดอายุความเรียกร้องสินจ้างของทนายความก็ย่อมเริ่มนับแต่วันศาลฎีกาพิพากษา
จำเลยหลายคนเป็นลูกหนี้ร่วมกันต่อโจทก์ แต่จำเลยคนหนึ่งแต่ผู้เดียวเป็นผู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจะนำการยกอายุความขึ้นต่อสู้ของจำเลยผู้นั้นมาเป็นมูลยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยอื่นที่ไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำเหมืองแร่และการโอนประทานบัตรตามกฎหมายเหมืองแร่ สัญญาผูกพันระหว่างเจ้าของที่ดินและผู้รับประทานบัตร
บ.ผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินของบ. ได้โอนตกมาเป็นของบริษัทโจทก์ รวมทั้งประทานบัตรรายนี้ด้วย การที่คณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทโจทก์ถือประทานบัตรสืบเนื่องจาก บ. ก็เพราะ พ.ร.บ. การทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 มาตรา 46 บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอนุญาตในกรณีเข้าถือประทานบัตรสืบเนื่องจากเจ้าของเดิมผู้ถึงแก่กรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรขึ้นมาใหม่เป็นคนละรายต่างหาก บ.โจทก์จึงรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่
ผ. ทำสัญญาให้ไว้แก่ บ. ยอมให้ บ. ทำเหมืองแร่ในที่ดินของ ผ. ได้ตามเรื่องราวที่ขอประทานบัตร ต่อมา บ. ถึงแก่กรรมและบริษัทโจทก์ถือประทานบัตรนี้สืบเนื่องจาก บ. ตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่าวแล้ว ฝ่ายผ. ก็ถึงแก่กรรมและที่ดินของ ผ. ก็เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย โจทก์จำเลยย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้บริษัทโจทก์เข้าทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
ผ. ทำสัญญาให้ไว้แก่ บ. ยอมให้ บ. ทำเหมืองแร่ในที่ดินของ ผ. ได้ตามเรื่องราวที่ขอประทานบัตร ต่อมา บ. ถึงแก่กรรมและบริษัทโจทก์ถือประทานบัตรนี้สืบเนื่องจาก บ. ตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่าวแล้ว ฝ่ายผ. ก็ถึงแก่กรรมและที่ดินของ ผ. ก็เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย โจทก์จำเลยย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้บริษัทโจทก์เข้าทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่ตามกฎหมาย และผลผูกพันตามสัญญาต่อทายาท
บ.ผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินของบ. ได้โอนตกมาเป็นของบริษัทโจทก์รวมทั้งประทานบัตรรายนี้ด้วยการที่คณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทโจทก์ถือประทานบัตรสืบเนื่องจาก บ. ก็เพราะ พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ พ.ศ.2461 มาตรา 46 บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอนุญาตในกรณีเข้าถือประทานบัตรสืบเนื่องจากเจ้าของเดิมผู้ถึงแก่กรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรขึ้นใหม่เป็นคนละรายต่างหากโจทก์จึงรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่
ผ. ทำสัญญาให้ไว้แก่ บ. ยอมให้บ. ทำเหมืองแร่ในที่ดินของ ผ. ได้ตามเรื่องราวที่ขอประทานบัตร ต่อมาบ. ถึงแก่กรรม และบริษัทโจทก์ถือประทานบัตรนี้สืบเนื่องจากบ. ตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่าวแล้ว ฝ่ายผ. ก็ถึงแก่กรรมและที่ดินของ ผ. ก็เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย โจทก์จำเลยย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้บริษัทโจทก์เข้าทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้. โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
ผ. ทำสัญญาให้ไว้แก่ บ. ยอมให้บ. ทำเหมืองแร่ในที่ดินของ ผ. ได้ตามเรื่องราวที่ขอประทานบัตร ต่อมาบ. ถึงแก่กรรม และบริษัทโจทก์ถือประทานบัตรนี้สืบเนื่องจากบ. ตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่าวแล้ว ฝ่ายผ. ก็ถึงแก่กรรมและที่ดินของ ผ. ก็เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย โจทก์จำเลยย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้บริษัทโจทก์เข้าทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้. โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 441/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาช่วง-มอบอำนาจ: ความรับผิดของคู่สัญญาต่อค่าใช้จ่ายตามสัญญา
โจทก์ทำสัญญาเช่าโรงมหรศพจากเจ้าของเพื่อจัดการแสดงมหาศพและการบันเทิงต่าง ๆ โดยมีข้อห้ามมิให้เช่าช่วง แต่โจทก์มาทำสัญญากับจำเลยยินยอมมอบอำนาจให้จำเลยดำเนินการฉายภาพยนต์หรือจัดรายการบันเทิงอื่นใดโรงมหรศพนี้ โดยจำเลยต้องให้เงินโจทก์เป็นรายเดือน สัญญานี้ใช้บังคับได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย ส่วนข้อที่ว่าเป็นการให้เช่าช่วงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของจะว่ากล่าวแก่โจทก์ จำเลยจะยกขึ้นปัดความรับผิดของตนไม่ได้
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วย ถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้ มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้อง เพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่าง ๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่ายและในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีก ย่อมฟังไม่ขึ้น
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วย ถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้ มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้อง เพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่าง ๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่ายและในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีก ย่อมฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 441/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วง vs. สัญญามอบอำนาจ: ความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและหน้าที่นำสืบ
โจทก์ทำสัญญาเช่าโรงมหรสพจากเจ้าของเพื่อจัดการแสดงมหรสพและการบันเทิงต่างๆ โดยมีข้อห้ามมิให้เช่าช่วงแต่โจทก์มาทำสัญญากับจำเลยยินยอมมอบอำนาจให้จำเลยดำเนินการฉายภาพยนต์หรือจัดรายการบันเทิงอื่นในโรงมหรสพนี้ โดยจำเลยต้องให้เงินโจทก์เป็นเดือน สัญญานี้ใช้บังคับได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย ส่วนข้อที่ว่าเป็นการให้เช่าช่วงหรือไม่ นั้นเป็นเรื่องที่เจ้าของจะว่ากล่าวแก่โจทก์ จำเลยจะยกขึ้นปัดความรับผิดของตนไม่ได้
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วยถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้องเพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญาจำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้องแต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่างๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้วก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่าย และในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีกย่อมฟังไม่ขึ้น
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วยถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้องเพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญาจำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้องแต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่างๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้วก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่าย และในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีกย่อมฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลและการบังคับคดีร่วมกันของจำเลยทั้งสอง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปซื้อสวน จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์โดยลงไว้ในสัญญาว่าเอาที่สวนนั้นเป็นประกัน จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินกู้โจทก์ทวงให้ชำระหรือมิฉะน้นก็ให้โอนที่สวนให้โจทก์ จำเลยบิดพลิ้ว แล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่สวนนั้นให้จำเลยที่ 2 โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทั้งสองทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ศาลสั่งขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ไว้แล้ว (จำเลยอ้างว่ามิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบ)
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย ถ้าไม่สามารถชำระเงิน ก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญา โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสองนั้น ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อน เมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย ถ้าไม่สามารถชำระเงิน ก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญา โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสองนั้น ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อน เมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมฉ้อโกงและการบังคับคดี: สิทธิของเจ้าหนี้ในการขอเพิกถอนนิติกรรมได้พร้อมกับการเรียกร้องเงินกู้
บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปซื้อสวน จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์โดยลงไว้ในสัญญาว่าเอาที่สวนนั้นเป็นประกันจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินกู้โจทก์ทวงให้ชำระหรือมิฉะนั้นก็ให้โอนที่สวนให้โจทก์จำเลยบิดพลิ้วแล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่สวนนั้นให้จำเลยที่ 2 โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทั้งสองทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมนั้นเป็นการตั้งประเด็นขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ไว้แล้ว (จำเลยอ้างว่ามิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบ)
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ยถ้าไม่สามารถชำระเงินก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญาโดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสียศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสอง นั้นไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อนเมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ยถ้าไม่สามารถชำระเงินก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญาโดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสียศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสอง นั้นไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อนเมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินของคนต่างด้าว: การไม่อนุญาตตามกฎหมายทำให้การจดทะเบียนเป็นโมฆะ แม้ครอบครองนาน
ตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. 2486 นั้น คนต่างด้าวจะมีที่ดินได้ต้องได้รับอนุญาตก่อน ฉะนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนำสืบไม่ได้ว่าได้รับอนุญาตให้มีที่ดินได้ตามกฎหมายแล้ว แม้ตนจะได้จดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม และได้ครอบครองที่ดินมากว่า 10 ปีแล้ว ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นไม่