คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประมูล สุวรรณศร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คนต่างด้าวถือครองที่ดินต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แม้จดทะเบียนและครอบครองนาน ก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์หากไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวพ.ศ.2486 นั้น คนต่างด้าวจะมีที่ดินได้ต้องได้รับอนุญาตก่อนฉะนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนำสืบไม่ได้ว่าได้รับอนุญาตให้มีที่ดินได้ตามกฎหมายแล้ว แม้ตนจะได้จดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม และได้ครอบครองที่ดินมากว่า10 ปีก็ตาม ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบอกกล่าวนัดประชุมบริษัทจำกัด การนับระยะเวลาตามกฎหมาย ให้ดูวันที่ส่ง ไม่ใช่วันที่ผู้รับได้รับ
มาตรา 1175 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่บริษัทจำกัด เพียงแต่บังคับให้ส่งคำบอกกล่าวนัดประชุมก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วันเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีได้ส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์ก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน และโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้รับ ย่อมถือว่าจำเลยส่งถูกต้องตามกฎหมายแล้ว โจทก์ได้รับวันใด หาเป็นข้อสำคัญไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบอกกล่าวประชุมผู้ถือหุ้น: ระยะเวลาที่กำหนดกฎหมายเน้นที่การส่งก่อนวันประชุม ไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือผู้รับก่อน
มาตรา 1175 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่บริษัทจำกัด เพียงแต่บังคับให้ส่งคำบอกกล่าวนัดประชุมก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วันเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีได้ส่งคำบอกกล่าวทางไปรษณีย์ก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน และโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้รับ ย่อมถือว่าจำเลยส่งถูกต้องตามกฎหมายแล้ว โจทก์จะได้รับวันใด หาเป็นข้อสำคัญไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ผูกพันคู่ความ
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งไม่ได้ระบุถึงข้อตกลงว่าจะแบ่งกันอย่างไร และให้กันเพราะเหตุใดนั้น ถือว่าเป็นเพียงพฤติการณ์ที่แสดงเจตนาจะทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเท่านั้นยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันจึงไม่ใช่เอกสารที่ต้องห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมยังไม่ถึงขั้นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงยังใช้เป็นพยานหลักฐานได้
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งไม่ได้ระบุถึงข้อตกลงว่าจะแบ่งกันอย่างไร และให้กันเพราะเหตุใด นั้น ถือว่าเป็นเพียงพฤติการณ์ที่แสดงเจตนาจะทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงไม่ใช่เอกสารที่ต้องห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 (ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิสัญชาติไทย: การพิสูจน์สัญชาติของผู้เข้ามาในราชอาณาจักรและการโต้แย้งสิทธิ
บุคคลใดซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร อ้างว่าเป็นคนไทยบุคคลนั้นต้องเป็นผู้พิสูจน์ การพิสูจน์นั้นจะกระทำโดยร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาลก็ได้ตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493
ได้ความว่า โจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยได้ 3 วัน ก็ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมือง อ้างว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยแต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่โดยมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยระงับเพิกถอนคำสั่งและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมายจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยจนศาลได้ทำการพิจารณาคดีมาโดยลำดับดังนี้ แม้จะได้ความว่าเมื่อก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์มาก่อนก็ตามก็เป็นอันผ่านไปได้ เพราะเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติระหว่างคู่ความในคดีแล้ว ศาลพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการพิสูจน์สัญชาติไทยของผู้เข้าเมือง และการเกิดข้อพิพาทสิทธิสัญชาติหลังถูกโต้แย้ง
บุคคลใดซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร อ้างว่าเป็นคนไทย บุคคลนั้นต้องเป็นผู้พิสูจน์ การพิสูจน์นั้นจะกระทำโดยร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาลก็ได้ ตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493
ได้ความว่า โจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยได้ 3 วัน ก็ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมือง อ้างว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยแต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่โดยมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย โจทก์จึงฟ้อง่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยระงับเพิกถอนคำสั่งและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย จนศาลได้ทำการพิจารณาคดีมาโดยลำดับ ดังนี้ แม้จะได้ความว่าเมื่อก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์มาก่อนก็ตาม ก็เป็นอันผ่านไปได้ เพราะเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติระหว่างคู่ความในคดีแล้ว ศาลพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้เงินเจ้าพนักงานเพื่อช่วยเหลือคดี ไม่ถือเป็นความผิดตามมาตรา 144 หากเจ้าพนักงานไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในคดีนั้น
ความผิดฐานให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 จะต้องเป็นเรื่องให้หรือขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการหรือไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นเอง การที่จำเลยให้เงินกำนันเพื่อให้กำนันช่วยเหลือไปติดต่อกับเจ้าพนักงานอำเภอหรือพนักงานสอบสวนให้กระทำการให้คดีของจำเลยเสร็จไปในชั้นอำเภออย่าให้ต้องถึงฟ้องศาลเนื่องจากกำนันรายงานกล่าวโทษจำเลยไปอำเภอและอำเภอเรียกพยานทำการสอบสวนไปแล้วดังนี้ เป็นการพ้นอำนาจหน้าที่ของกำนันแล้วจำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้จำนอง vs. กรรมสิทธิ์ร่วม: การบังคับชำระหนี้และการโต้แย้งสิทธิ
จำเลยที่ 2 กู้เงินโจทก์และได้มอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดไว้เมื่อทำสัญญากู้เงิน ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในที่ดินนั้น ดัรงนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินตามโฉนดนั้นเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องอย่างใดที่จะบังคับทวงหนี้เอากับที่ดินนั้น การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 เช่นนั้น และจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนอยู่ในที่ดินด้วยก็ไม่เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 เพราะจำเลยที่ 2 ยังมิได้ทำนิติกรรมแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้จำนอง vs. สิทธิกรรมสิทธิ์รวม: โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องหากไม่ยึดทรัพย์
จำเลยที่ 2 กู้เงินโจทก์และได้มอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดไว้เมื่อทำสัญญากู้เงินต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่1 มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในในที่ดินนั้น ดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินตามโฉนดนั้นเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องอย่างใดที่จะบังคับชำระหนี้เอากับที่ดินนั้นการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 เช่นนั้นและจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนอยู่ในที่ดินด้วยก็ไม่เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237เพราะจำเลยที่ 2 ยังมิได้ทำนิติกรรมแต่อย่างใด
of 323