พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331-332/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานประเมินในการสั่งให้ชำระภาษีเพิ่มเติมกรณีรายการที่ยื่นไว้ไม่ถูกต้อง
โจทก์ชำระเงินภาษีแล้วต่อมาเจ้าพนักงานประเมินเห็นว่ารายการที่ยื่นไว้นั้นต่ำไป จึงตรวจสอบหลักฐานและเรียกโจทก์ไปสอบถามปรากฏจากการตรวจสอบไต่สวนและคำรับสารภาพของโจทก์ว่าโจทก์ยื่นรายการเสียภาษีไว้ต่ำกว่าจำนวนที่ควรต้องเสียจึงมีคำสั่งให้โจทก์ชำระเงินภาษีเพิ่มเติมอีกเช่นนี้เป็นอำนาจที่เจ้าพนักงานประเมินกระทำได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 19,20 ในเมื่อรายการที่โจทก์ทำยื่นไว้แล้วนั้นไม่ถูกต้องตามความจริงในกรณีเช่นนี้ไม่ต้องขออนุมัติอธิบดีตาม มาตรา 86(ก่อนแก้ไข) เพราะไม่ได้ใช้อำนาจกำหนดยอดเงินที่จะต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีขึ้นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331-332/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานประเมินในการแก้ไขรายการภาษีที่ยื่นไม่ถูกต้อง โดยไม่ต้องขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากร
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกตัวผู้ยื่นรายการที่มีเหตุควรเชื่อว่ายื่นไม่ถูกต้องตามความจริงมาไต่สวน แล้วแก้เพิ่มเติมจำนวนเงินที่ยื่นรายการไว้โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ปรากฏได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19, 20 หาจำต้องรับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรก่อน ดังมาตรา 86 ไม่ เพราะมาตรา 86 เป็นเรื่องเจ้าพนักงานประเมินกำหนดยอดเงินที่จะต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีขึ้นเรียกเก็บเอาเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้บ้านพักเป็นสถานการค้าตามประมวลรัษฎากร: การควบคุมดูแลกิจการทำไม้หมอน
โจทก์มีภูมิลำเนาในพระนครแต่ทำไม้หมอนจากป่าในจังหวัดสุราษฎร์ธานีส่งให้การรถไฟ ค่าไม้หมอนจ่ายกันที่พระนครโจทก์ต้องไปควบคุมดูแลกิจการทำไม้หมอน เดือนละครั้งสองครั้งครั้งละ 3-4 วันเนื่องจากที่พักคนงานอยู่ในป่าห่างตลาดราว 10 กิโลเมตร เมื่อตรวจดูกิจการแล้วโจทก์ก็กลับมาอาศัยค้างคืนที่บ้านของ ส. ในตลาดตามปกติโจทก์ไปจ่ายค่าจ้างคนงานที่ในป่า แต่มีอยู่บ้างที่คนงานมาขอรับเงินจากโจทก์ในขณะที่พักอยู่ที่บ้านของ ส. ดังนี้จะถือว่าโจทก์ใช้บ้านของ ส.เป็นสถานการค้าตามเจตนารมณ์ของมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากรตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 10 พ.ศ.2496 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีจากสถานที่พักอาศัยชั่วคราว ไม่ถือเป็นสถานการค้าตามกฎหมายภาษีอากร
โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพระนคร ได้รับอนุญาตให้ทำไม้หมอนจากป่าโครงการของการรถไฟที่ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการทำไม้หมอน โจทก์ต้องเดินทางจากจังหวัดพระนคร ไปควบคุมดูแลกิจการเป็นครั้งคราว เมื่อตรวจดูกิจการในตอนกลางวันแล้ว ในตอนกลางคืนก็กลับมาอาศัยพักนอนที่บ้านนายสุรินทร์ ปฏิบัติเช่นนี้เดินละครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง และครั้งหนึ่งเป็นเวลา 3-4 วัน โดยไม่เสียค่าเช่าพักแก่เจ้าของบ้าน ดังนี้ บ้านของนายสุรินทร์ที่โจทก์มาอาศัยครั้งคราว ย่อมไม่เป็นสถานการค้าของโจทก์ตามความหมายของมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ซึ่งใช้อยู่ในระหว่างปีประเมินเก็บค่าภาษีจากโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ซื้อของเชื่อ, การทวงหนี้โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์, และผลของการไม่คัดค้านหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
การซื้อของเชื่อเป็นคราวๆ ตามวันที่ผู้ขายส่งมอบของนั้นเมื่อผู้ซื้อผ่อนชำระเงินผู้ขายก็เลือกคืนบิลค่าของให้ทุกครั้งโดยกะจำนวนเงินที่ชำระแต่ละครั้งให้พอประมาณกับราคาของในบิลโดยผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่เคยตกลงให้รวมยอดบัญชีหนี้สินอย่างบัญชีเดินสะพัด หรือ ให้รวมเป็นหนี้ก้อนเดียวกันอย่างไรไม่ ดังนี้ มิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ด้วยการใช้เงินให้บางส่วน หนี้รายใดเกิน 2 ปี เป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165(1)
เมื่อผู้ล้มละลายเป็นเจ้าหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องฟ้องศาลให้บังคับตามสิทธิของผู้ล้มละลาย แต่บังคับได้ด้วยตนเองตามวิธีการในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 ฉะนั้น อายุความตามสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายจึงสดุดหยุดลงในวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังลูกหนี้ของผู้ล้มละลาย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 178
หนี้รายใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ลูกหนี้ของผู้ล้มละลายชำระถ้าลูกหนี้มิได้คัดค้านตอบปฏิเสธภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ ถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอยู่ตามจำนวนนั้นเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119
เมื่อผู้ล้มละลายเป็นเจ้าหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องฟ้องศาลให้บังคับตามสิทธิของผู้ล้มละลาย แต่บังคับได้ด้วยตนเองตามวิธีการในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 ฉะนั้น อายุความตามสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายจึงสดุดหยุดลงในวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังลูกหนี้ของผู้ล้มละลาย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 178
หนี้รายใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ลูกหนี้ของผู้ล้มละลายชำระถ้าลูกหนี้มิได้คัดค้านตอบปฏิเสธภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ ถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอยู่ตามจำนวนนั้นเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ซื้อเชื่อและการทวงหนี้โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย
การซื้อของเชื่อเป็นคราว ๆ ตามวันที่ผู้ขายส่งมอบของนั้น เมื่อผู้ซื้อผ่อนชำระเงินผู้ขายก็เลือกคืนบิลค่าของให้ทุกครั้งโดยกะจำนวนเงินที่ชำระแต่ละครั้งให้พอประมาณกับราคาของในบิล โดยผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่เคยตกลงให้รวมยอดบัญชีหนี้สินอย่างบัญชีเดินสะพัดหรือให้รวมเป็นหนี้ก้อนเดียวกันอย่างไรไม่ ดังนี้ มิใช่เป็นการรัรบสภาพหนี้ด้วยการใช้เงินให้บางส่วน หนี้รายใดเกิน 2 ปี เป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1)
เมื่อผู้ล้มละลายเป็นเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องฟ้องศาลให้บังคับตามสิทธิของผู้ล้มละลาย แต่บังคับได้ด้วยตนเองตามวิธีการในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 21483 มาตรา 119 ฉะนั้น อายุความตามสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายจึงสดุดหยุดลงในวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังลูกหนี้ของผู้ล้มละลาย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 178
หนี้รายใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ลูกหนี้ของผู้ล้มละลายชำระ ถ้าลูกหนี้มิได้คัดค้านตอบปฏิเสธภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ ถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอยู่ตามจำนวนนั้นเป็นการเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119
เมื่อผู้ล้มละลายเป็นเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องฟ้องศาลให้บังคับตามสิทธิของผู้ล้มละลาย แต่บังคับได้ด้วยตนเองตามวิธีการในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 21483 มาตรา 119 ฉะนั้น อายุความตามสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายจึงสดุดหยุดลงในวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังลูกหนี้ของผู้ล้มละลาย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 178
หนี้รายใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ลูกหนี้ของผู้ล้มละลายชำระ ถ้าลูกหนี้มิได้คัดค้านตอบปฏิเสธภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ ถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอยู่ตามจำนวนนั้นเป็นการเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอุปการะเลี้ยงดู: หนี้ค้างชำระตามสัญญา แม้ฐานะเปลี่ยนแปลง ก็ยังต้องชำระ
การตกลงยอมความกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกันเองโดยศาลมิได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น หากต่อมาปรากฏว่าพฤติการณ์รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีเปลี่ยนแปลงไป ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1596 ได้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ตกลงกันเอง มีผลเป็นหนี้ค้างชำระ แม้ฐานะเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจขอเปลี่ยนแปลงได้
การตกลงยอมความกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกันเองโดยศาลมิได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น หากต่อมาปรากฏว่าพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีเปลี่ยนแปลงไป ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 ได้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ค่าเสียหายจากการละเมิดต่อเนื่อง แม้มีการเปลี่ยนแปลงค่าเสียหายรายวัน ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยฟ้องจำเลยหาว่าละเมิดเข้ามาระเบิดเอาหินไปจากที่อันเป็ฯสิทธิของโจทก์ และเรียกค่าเสียหาย 140,000 บาท กับค่าเสียหายวันละ 840 บาท ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะหยุดทำการระเบิดและขุดต่อยหิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดพิจารณา และจำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่อยู่ โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกสำนวนหนึ่งว่า จำเลยไม่ยอมออกไปจากที่พิพาทซึ่งโจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 60,000 บาท กับค่าเสียหายวันละ 420 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะสละการครอบครองรื้อถอนโรงเรือน สะพาน และวัตถุระเบิดออกไปจากที่พิพาท ดังนี้ ย่อมเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144, 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ค่าเสียหายจากการละเมิดต่อเนื่อง โจทก์เรียกค่าเสียหายจากละเมิดเดิมซ้ำไม่ได้
โจทก์เคยฟ้องจำเลยหาว่าละเมิดเข้ามาระเบิดเอาหินไปจากที่อันเป็นสิทธิของโจทก์ และเรียกค่าเสียหาย 140,000 บาทกับค่าเสียหายวันละ 840 บาท ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะหยุดทำการระเบิดและขุดต่อยหิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดพิจารณา และจำเลยได้ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่อยู่ โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกสำนวนหนึ่งว่า จำเลยไม่ยอมออกไปจากที่พิพาท ซึ่งโจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 60,000 บาท กับค่าเสียหายวันละ 420 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะสละการครอบครองรื้อถอนโรงเรือน สะพานและวัตถุระเบิดออกไปจากที่พิพาทดังนี้ย่อมเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144,148