คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประมูล สุวรรณศร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา: ระยะเวลา 10 ปี เริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษา
ศาลพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทในกรณีที่จะเป็นการขัดขวางต่อสิทธิของโจทก์ที่จะทำเหมืองแร่ โจทก์ผู้ชนะคดีชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา: การเริ่มต้นนับอายุความและการขอบังคับคดีเกินกำหนด
ศาลพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทในกรณีที่จะเป็นการขัดขวางต่อสิทธิของโจทก์ที่จะทำเหมืองแร่โจทก์ผู้ชนะคดีชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสที่จดทะเบียนแล้วมีผลสมบูรณ์จนกว่าศาลพิพากษาเป็นอื่น แม้มีการได้เสียกับผู้อื่นภายหลัง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488 หมายความว่าตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาว่า การสมรสเป็นโมฆะหรือโมฆียะ การสมรสที่จดทะเบียนแล้วย่อมสมบูรณ์อยู่เสมอ ส่วนมาตรา 1445(3)(4) เป็นแต่เพียงเหตุที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าการสมรสที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นโมฆะหาใช่เหตุที่แสดงในตัวเองว่า การสมรสเป็นโมฆะไม่
โจทก์เป็นภริยาของนายถนอมอยู่ตั้งแต่พ.ศ.2480 โดยจดทะเบียนสมรสกันแม้ต่อมานายถนอมจะได้ตายไป แล้วโจทก์มาได้เสียกับนายธรรมอีก ภายหลังใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ5 แล้ว การได้เสียกันดังนี้ ไม่ทำให้โจทก์เป็นภริยานายธรรม โจทก์จึงไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายธรรมในเวลาที่นายธรรมถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะการสมรสและการรับบำนาญ: การสมรสที่จดทะเบียนแล้วย่อมสมบูรณ์จนกว่าศาลพิพากษาเป็นอื่น
ป.พ.พ. มาตรา 1488 หมายความว่าตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาว่า การสมรสเป็นโมฆะหรือโมฆียะ การสมรสที่จดทะเบียนแล้วย่อมสมบูรณ์อยู่เสมอ ส่วนมาตรา 1445 (3) (4) เป็นแต่เพียงเหตุที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าการสมรสที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นโมฆะ หาใช่เหตุที่แสดงในตัวเองว่า การสมรสเป็นโมฆะไม่
โจทก์เป็นภริยาของนายถนอมอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 โดยจดทะเบียนสมรสกัน แม้ต่อมานายถนอมจะได้ตายไป แล้วโจทก์มาได้เสียกับนายธรรมอีก ภายหลังใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 แล้วการได้เสียกันดังนี้ ไม่ทำให้โจทก์เป็นภริยานายธรรม โจทก์จึงไม่ใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายธรรมในเวลาที่นายธรรมถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย มีความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา
จำเลยใช้กำลังทำร้ายโดยแรง เป็นเหตุให้ศีรษะผู้ตายฟาดหรือกระแทกกับพื้นถนนเข็งกระโหลกศีรษะแตกถึงตาย เป็นผลที่บังเกิดอันเนื่องจากการกระทำของจำเลย จำเลยย่อมมีผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา
(อ้างฎีกาที่ 55/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
จำเลยใช้กำลังทำร้ายโดยแรง เป็นเหตุให้ศีรษะผู้ตายฟาดหรือกระแทกกับพื้นถนนแข็งกระโหลกศีรษะแตกถึงตายเป็นผลที่บังเกิดอันเนื่องจากการกระทำของจำเลย จำเลยย่อมมีผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา
(อ้างฎีกาที่ 55/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทดอกเบี้ยกู้ สัญญาไม่ชัดเจน ศาลต้องให้คู่ความสืบพยานเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยและเรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยให้การต่อสู้ว่า ในสัญญากู้คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายแต่โจทก์กลับคิดร้อยละ 15 ต่อไป สำเนาสัญญากู้ไม่ถูกต้อง ย่อมเห็นได้ชัดว่า จำเลยให้การปฏิเสธว่าสัญญากู้ไม่มีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ดังที่โจทก์ฟ้องอ้างสำเนาสัญญากู้มีข้อความว่า คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายร้อยละ 15 ต่อปี ติดมาท้ายคำฟ้อง ทั้งต้นฉบับสัญญากู้ก็ยังไม่มีปรากฏในสำนวน ดังนี้ถือว่า ข้อเท็จจริงเรื่องดอกเบี้ยยังไม่ยุติ คู่ความต้องนำสืบความข้อนี้กันต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทอัตราดอกเบี้ยสัญญาเงินกู้: จำเป็นต้องมีการนำสืบหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อตกลงที่แท้จริง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยและเรียกดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปีจำเลยให้การต่อสู้ว่า ในสัญญากู้คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายแต่โจทก์กลับคิดร้อยละ 15 ต่อปีสำเนาสัญญากู้ไม่ถูกต้องย่อมเห็นได้ชัดว่า จำเลยให้การปฏิเสธว่าสัญญากู้ไม่มีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีดังที่โจทก์ฟ้องอ้างสำเนาสัญญากู้มีข้อความว่าคิดดอกเบี้ยตามกฎหมายร้อยละ 15 ต่อปี ติดมาท้ายคำฟ้องทั้งต้นฉบับสัญญากู้ก็ยังไม่มีปรากฏในสำนวนดังนี้ถือว่า ข้อเท็จจริงเรื่องดอกเบี้ยยังไม่ยุติ คู่ความต้องนำสืบความข้อนี้กันต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกร้องค่าประกันภัยจากสัญญาประกันภัย: การเรียกบุคคลที่ 3 เข้าเป็นจำเลยร่วมไม่ชอบ
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าประกันภัยรถยนต์จากผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัยนั้นเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ เกิดจากสัญญาประกันภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยเนื่องจากรถที่เอาประกันไว้ถูกชน ไม่มีประเด็นว่าการชนนั้น เป็นความผิดของผู้เอาประกันภัยหรือผู้ทำละเมิด และผู้ทำละเมิดจะเป็นลูกจ้างบุคคลที่ 3 จริงหรือไม่ ก็เป็นข้อที่บุคคลที่ 3 อาจยกขึ้นต่อสู้ได้ กรณีไม่เข้า ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันจึงหาอาจยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ไม่ การที่ให้บุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น นอกจากไม่มีประเด็นความรับผิดไปถึงในเรื่องที่ฟ้องกันนี้ ยังทำให้การพิจารณายุ่งยากไม่สดวกอีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกร้องค่าประกันภัยจากผู้รับประกันภัย ไม่จำเป็นต้องเรียกบุคคลที่ 3 เข้าเป็นจำเลยร่วม หากไม่มีประเด็นความรับผิด
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าประกันภัยรถยนต์จากผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัยนั้นเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้เกิดจากสัญญาประกันภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยเนื่องจากรถที่เอาประกันไว้ถูกชนไม่มีประเด็นว่าการชนนั้นเป็นความผิดของผู้เอาประกันภัยหรือผู้ทำละเมิด และผู้ทำละเมิดจะเป็นลูกจ้างบุคคลที่ 3 จริงหรือไม่ ก็เป็นข้อที่บุคคลที่ 3 อาจยกขึ้นต่อสู้ได้ กรณีไม่เข้า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันจึงหาอาจยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ไม่การที่จะให้บุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นนอกจากไม่มีประเด็นความรับผิดไปถึงในเรื่องที่ฟ้องกันนี้ ยังทำให้การพิจารณายุ่งยากไม่สะดวกอีกด้วย
of 323