พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม หากศาลแขวงชี้ขาดแล้ว
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง โดยชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกโฉนดจากจำเลยมาทำการสอบสวนในกรณีที่มีผู้คัดค้านโต้แย้งการขอรับมรดกโจทก์อุทธรณ์ว่าความจำเป็นมีแล้ว เช่นนี้ เป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสตามกฎหมายเดิมก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ศาลอุทธรณ์พิพากษาผิดพลาด
เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5เมื่อแบ่งสินสมรสกันต่างมีสินเดิมด้วยกัน ต้องแบ่งตามกฎหมายเก่าฝ่ายชายควรได้ 2 ใน 3 ส่วนฝ่ายหญิงได้ 1 ใน 3 ส่วน
ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งสินสมรสที่สวนและที่นา(เฉพาะหมายสีแดง) ให้คนละครึ่ง ซึ่งเป็นผลให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งและน้อยกว่าส่วนที่จำเลยมีสิทธิได้รับหนึ่งในสามของสินสมรสที่สวนและที่นาทั้งหมด (หมายสีเขียวซึ่งรวมทั้งสีแดง) เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขส่วนแบ่งนี้ได้
ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งสินสมรสที่สวนและที่นา(เฉพาะหมายสีแดง) ให้คนละครึ่ง ซึ่งเป็นผลให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งและน้อยกว่าส่วนที่จำเลยมีสิทธิได้รับหนึ่งในสามของสินสมรสที่สวนและที่นาทั้งหมด (หมายสีเขียวซึ่งรวมทั้งสีแดง) เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขส่วนแบ่งนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาที่อ้างอิงบทกฎหมายผิดพลาดได้
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญาการที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกตนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกตนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างให้ถูกต้องได้ แม้โจทก์มิได้ฎีกา
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญา การที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกคนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้นหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกคนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้นหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองนาและการแบ่งผลประโยชน์ ไม่ถือเป็นการเช่าธรรมดา เจ้าของนาเดิมมีแต่สิทธิเก็บกิน
เจ้าของนายกนาพิพาทให้ผู้รับ ต่อมาผู้รับยอมให้เจ้าของนาเดิมครอบครองนาโดยผู้รับยอมเช่านา แบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าของนาเดิมหนึ่งในสี่ จนตลอดชั่วชีวิตของเจ้าของนาเดิม เช่นนี้ ถือว่า ผู้รับยังมิได้สละสิทธิครอบครอง ผู้รับยังเป็นเจ้าของนาพิพาทอยู่กรณีจึงมิใช่เป็นการเช่าธรรมดา เจ้าของนาเดิมมีแต่เพียงสิทธิเก็บกินเท่านั้น ฉะนั้นเจ้าของนาเดิมจะเรียกร้องเอานาพิพาทไปเป็นของตนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบของโจทก์, การต่อสู้เรื่องมูลหนี้จำนอง, และการพิสูจน์หลักฐานสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินของโจทก์ไปจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ และไม่เคยทำสัญญากู้ และฟ้องแย้งว่าจำเลยจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์ที่โจทก์จะสั่งมาให้จำเลยดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบก่อนให้ข้อเท็จจริงปรากฏดังฟ้องส่วนข้อที่จำเลยต่อสู้และฟ้องแย้งว่าจำเลยจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์นั้นเป็นแต่เพียงเหตุผลประกอบการปฏิเสธหนี้อันเป็นประธานที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุเรียกร้องเท่านั้น
สัญญาจำนอง คือสัญญาที่ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้และการประกันหนี้ในอนาคตจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้
ในสัญญาจำนองมีข้อความว่า จำนองประกันเงินกู้. จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำจำนองเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์ ไม่ใช่ประกันการกู้ยืมเงินนั้น. เป็นการต่อสู้ในเรื่องมูลหนี้ที่ทำจำนองไม่ใช่เป็นการปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาจำนอง. จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้และฟ้องแย้งได้.
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่ไม่มีหนังสือสัญญากู้มาแสดง. มีแต่สัญญาจำนองซึ่งมีข้อความว่า จำเลยจำนองประกันเงินกู้. เมื่อฟ้องโจทก์แสดงสภาพแห่งข้อหาโดยถือเอาหนังสือสัญญากู้เป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว.โจทก์ไม่นำต้นฉบับหนังสือสัญญากู้ที่กล่าวอ้างมาแสดง และไม่มีสิทธิสืบพยานอื่นถึงการเคยมีอยู่ของเอกสารเช่นว่านั้น. โจทก์จะขอให้ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด เปลี่ยนไปจากข้ออ้างเดิมไปนั้นหาได้ไม่.
สัญญาจำนอง คือสัญญาที่ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้และการประกันหนี้ในอนาคตจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้
ในสัญญาจำนองมีข้อความว่า จำนองประกันเงินกู้. จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำจำนองเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์ ไม่ใช่ประกันการกู้ยืมเงินนั้น. เป็นการต่อสู้ในเรื่องมูลหนี้ที่ทำจำนองไม่ใช่เป็นการปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาจำนอง. จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้และฟ้องแย้งได้.
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่ไม่มีหนังสือสัญญากู้มาแสดง. มีแต่สัญญาจำนองซึ่งมีข้อความว่า จำเลยจำนองประกันเงินกู้. เมื่อฟ้องโจทก์แสดงสภาพแห่งข้อหาโดยถือเอาหนังสือสัญญากู้เป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว.โจทก์ไม่นำต้นฉบับหนังสือสัญญากู้ที่กล่าวอ้างมาแสดง และไม่มีสิทธิสืบพยานอื่นถึงการเคยมีอยู่ของเอกสารเช่นว่านั้น. โจทก์จะขอให้ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด เปลี่ยนไปจากข้ออ้างเดิมไปนั้นหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์หลักฐานสัญญาและการต่อสู้เรื่องมูลหนี้ตามสัญญาจำนอง การนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินของโจทก์ไป จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ และไม่เคยทำสัญญากู้ และฟ้องแย้งว่าจำเลยจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์ที่โจทก์จะสั่งมาให้จำเลย ดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบก่อนให้ข้อเท็จจริงปรากฎดังฟ้อง ส่วนข้อที่จำเลยต่อสู้และฟ้องแย้งว่าจำเลยจำนองที่ดินเพื่อเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์นั้น เป็นแต่เพียงเหตุผลประกอบการปฏิเสธหนี้อันเป็นประชาชนที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุเรียกร้องเท่านั้น
สัญญาจำเลย คือ สัญญาที่ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้และการประกันหนี้ในอนาคตจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้
ในสัญญาจำนองมีข้อความว่าจำนองประกันเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำจำนองเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์ ไม่ใช่ประกันการกู้ยืมเงินนั้น เป็นการต่อสู้ในเรื่องมูลหนี้ที่ทำจำนองไม่ใช่เป็นการปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาจำนอง จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้และฟ้องแย้งได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่ไม่มีหนังสือสัญญากู้มาแสดง มีแต่สัญญาจำนองซึ่งมีข้อความว่า จำเลยจำนองประกันเงินกู้ เมื่อฟ้องโจทก์แสดงสภาพแห่งข้อหาโดยถือเอาหนังสือสัญญากู้เป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งข้อหาแล้ว โจทก์ไม่นำต้นฉบับหนังสือสัญญากู้ที่กล่าวอ้างมาแสดง และไม่มีสิทธิสืบพยานอื่นถึงการเคยมีอยู่ของเอกสารเช่นว่านั้น โจทก์จะขอให้ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ เปลี่ยนไปจากข้ออ้างเดิมไปนั้นหาได้ไม่
สัญญาจำเลย คือ สัญญาที่ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้และการประกันหนี้ในอนาคตจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้
ในสัญญาจำนองมีข้อความว่าจำนองประกันเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำจำนองเป็นประกันการสั่งซื้อรถยนต์ ไม่ใช่ประกันการกู้ยืมเงินนั้น เป็นการต่อสู้ในเรื่องมูลหนี้ที่ทำจำนองไม่ใช่เป็นการปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาจำนอง จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้และฟ้องแย้งได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่ไม่มีหนังสือสัญญากู้มาแสดง มีแต่สัญญาจำนองซึ่งมีข้อความว่า จำเลยจำนองประกันเงินกู้ เมื่อฟ้องโจทก์แสดงสภาพแห่งข้อหาโดยถือเอาหนังสือสัญญากู้เป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งข้อหาแล้ว โจทก์ไม่นำต้นฉบับหนังสือสัญญากู้ที่กล่าวอ้างมาแสดง และไม่มีสิทธิสืบพยานอื่นถึงการเคยมีอยู่ของเอกสารเช่นว่านั้น โจทก์จะขอให้ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาจำนองเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ เปลี่ยนไปจากข้ออ้างเดิมไปนั้นหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: ประเด็นค่าเสียหายจากสัญญาเช่าและการฟ้องขับไล่
คดีฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วยก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่ได้ คดีเช่นว่านี้ แม้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตาม จำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: คดีขับไล่ที่ประเด็นหลักเป็นภาระผูกพันที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ แม้มีเรียกค่าเสียหาย
คดีฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ถือว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วยก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่ได้ คดีเช่นว่านี้ แม้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตามจำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาและการป้องกันตนเอง
ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาต่อกันแต่ถ้าความผิดที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำนั้นมิใช่เป็นความผิดอันเดียวกันหรือที่ก่อขึ้นด้วยกันหากแต่ต่างคนต่างกระทำในวาระต่างกันแล้วโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีได้
การอ้างสิทธิป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 นั้นจะต้องเป็นการป้องกันภยันตรายที่ใกล้จะถึงซึ่งจะบังเกิดขึ้นแก่จำเลย
การอ้างสิทธิป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 นั้นจะต้องเป็นการป้องกันภยันตรายที่ใกล้จะถึงซึ่งจะบังเกิดขึ้นแก่จำเลย