คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประมูล สุวรรณศร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,225 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดิน: คำพิพากษาบังคับรื้อสิ่งปลูกสร้าง หรือชดใช้ค่าที่ดิน
คำพิพากษาที่บังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษารื้อห้องแถวที่ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่พิพาทออกเสียจากที่พิพาทถ้าไม่สามารถจะรื้อได้ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาใช้ค่าที่ดินให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะเลือกปฏิบัติในประการหลังโดยอ้างเหตุว่าถ้ารื้อห้องแถวแล้วลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะได้รับความเสียหายมากนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด: การรู้ตัวผู้ต้องชดใช้ค่าเสียหายเริ่มต้นเมื่อทราบตัวผู้กระทำละเมิด ไม่จำเป็นต้องรู้จำนวนค่าเสียหายที่แน่นอน
ผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งกล่าวไว้ในมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น ก็คือ ผู้ทำละเมิดตามมาตรา 420 นั่นเองและการรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 448 นั้น ก็มิได้หมายรวมถึงการรู้จำนวนค่าเสียหายที่ผู้ละเมิดจะพึงต้องใช้ด้วย
เสมียนแผนกเงินยักยอกเงินของทางราชการในระหว่างที่จำเลย3 คนดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกเงินสืบต่อกัน เมื่ออธิบดีกรมนั้นได้รับรายงานจากคณะกรรมการสอบสวนว่า จำเลยคนใดจะต้องรับผิดเพียงใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด ย่อมแล้วแต่ความทุจริตซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่จำเลยนั้นๆเป็นหัวหน้าแผนก ดังนี้ อายุความในการที่กรมนั้นจะใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยย่อมเริ่มต้นแล้วแม้รายงานนั้นจะแจ้งด้วยว่า ในขณะนั้นยังไม่สามารถจะรายงานให้ทราบจำนวนเงินซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด: การรู้ตัวผู้ละเมิดเริ่มต้นเมื่อทราบการกระทำละเมิด ไม่จำเป็นต้องรู้จำนวนค่าเสียหาย
ผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งกล่าวไว้ในมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น ก็คือ ผู้ทำละเมิดตามมาตรา 420 นั่นเอง และการรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าไหมทดแทนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 448 นั้น ก็มิได้หมายรวมถึงการรู้จำนวนค่าเสียหายที่ผู้ละเมิดจะพึงต้องใช้ด้วย
เสมียนแผนกเงินยักยอกเงินของทางราชการในระหว่างที่จำเลย 3 คนดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกเงินสืบต่อกันเมื่ออธิบดีกรมนั้นได้รับรายงานจากคณะกรรมการสอบสวนว่าจำเลยคนใดจะต้องรับผิดเพียงใด เป็นจำนวนเงินเท่าใดย่อมแล้วแต่ความทุจริตซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่จำเลยนั้น ๆ เป็นหัวหน้าแผนก ดังนี้ อายุความในการที่กรมนั้นจะใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยย่อมเริ่มต้นแล้ว แม้รายงานนั้นจะแจ้งด้วยว่าในขณะนั้นยังไม่สามารถจะรายงานให้ทราบจำนวนเงินซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือ จ.2 เป็นหลักฐานผูกมัดค่าเช่าใหม่ แม้ยังไม่ได้ทำสัญญาใหม่ตามรูปแบบ
ผู้เช่าทำสัญญา จ.1 เช่าทรัพย์พิพาทจากผู้ให้เช่า ค่าเช่าเดือนละ 500 บาทมีกำหนด 1 ปี และได้ทำหนังสือจ.2 ไว้ต่อกันอีกหนึ่งฉบับ มีความในข้อ 1 ว่า'ฯลฯ ผู้เช่ามีสิทธิที่จะต่อสัญญา (จ.1) ได้อีก 1 ปี โดยต้องบอกกับผู้ให้เช่าก่อนล่วงหน้า 1 เดือนแล้วทำสัญญาขึ้นใหม่อีก 1 ฉบับ และต้องเพิ่มค่าเช่าเป็นเดือนละ 3,500 บาท' ปรากฏว่า ก่อนจะครบสัญญาเช่า1 เดือน ผู้เช่าได้ให้คนไปติดต่อกับผู้ให้เช่าขอเช่าต่อและผู้ให้เช่าก็ย่อมให้เช่าต่อได้ เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญา จ.1 แล้ว ผู้เช่าก็ยังคงครอบครองทรัพย์ที่เช่าต่อมา ดังนี้ หนังสือ จ.2 ย่อมเป็นหลักฐานผูกมัดผู้เช่าให้ต้องชำระค่าเช่าสำหรับการเช่าต่อมาในอัตราเดือนละ 3,500 บาทกรณีนี้ แม้ผู้เช่ากับผู้ให้เช่ายังไม่ได้ทำสัญญากันใหม่อีกฉบับหนึ่งตามความในหนังสือ จ.2 ก็ตาม ก็เป็นที่ชัดแจ้งว่าข้อความส่วนที่ได้ตกลงกันแล้วย่อมเป็นอันสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 367 ไม่มีข้อสงสัยอันจะนับได้ว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันตามบทบัญญัติมาตรา366 วรรค 2 นั้นอย่างใด ผู้เช่าจะเถียงว่าหนังสือจ.2 ไม่มีผลบังคับ ผู้เช่าจึงมีสิทธิที่จะให้ค่าเช่าเพียงเดือนละ 500 บาทเท่าอัตราค่าเช่าตามสัญญา จ.1เดิมนั้นหาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่เข้ามาตรา 570 อันจะถือได้ว่าผู้ให้เช่ากับผู้เช่าเป็นอันทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าเพิ่มเติมมีผลผูกพัน แม้ยังไม่ได้ทำสัญญาใหม่เป็นลายลักษณ์อักษร หากตกลงกันแล้ว
ผู้เช่าทำสัญญา จ.1 เช่าทรัพย์พิพาทจากผู้ให้เช่า ค่าเช่าเดือนละ 500 บาท มี กำหนด 1 ปี และได้ทำหนังสือ จ.2 ไว้ต่อกันอีกหนึ่งฉบับ มีความในข้อ 1.ว่า"ฯลฯ ผู้เช่ามีสิทธิที่จะต่อสัญญา(จ.1)ได้อีก 1 ปี โดยต้องบอกกับผู้ให้เช่าก่อนล่วงหน้า 1 เดือน แล้วทำสัญญาขึ้นใหม่อีก 1 ฉบับ และต้องเพิ่มค่าเช่าเป็นเดือนละ 3,500 บาท" ปรากฎว่า ก่อนจะครบสัญญาเช่า 1 เดือน ผู้เช่าได้ให้คนไปติดต่อกับผู้ให้เช่าขอเช่าต่อ และผู้ให้เช่าก็ยอมให้เช่าต่อได้ เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญา จ.1 แล้ว ผู้เช่าก็ยังคงครอบครองทรัพย์ที่เช่าต่อมาดังนี้ หนังสือ จ.2 ย่อมเป็นหลักฐานผูกมัดผู้เช่าให้ต้องชำระค่าเช่าสำหรับการเช่าต่อมาในอัตราเดือนละ 3,500 บาท กรณีนี้ แม้ผู้เช่ากับผู้ให้เช่ายังไม่ได้ทำสัญญากันใหม่อีกฉบับหนึ่งตามความในหนังสือ จ.2 ก็ตาม ก็เป็นที่ชัดแจ้งว่าข้อความส่วนที่ได้ตกลงกันแล้วย่อมเป็นอันสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 367 ไม่มีข้อสงสัยอันจะนับได้ว่า่ยังมิได้มีสัญญาต่อกันตามบทบัญญัติมาตรา 366 วรรค 2 นั้นอย่างใด ผู้เช่าจะเถียงว่าหนังสือ จ.2 ไม่มีผลบังคับ ผู้เช่าจึงมีสิทธิที่จะให้ค่าเช่าเพียงเดือนละ 500 บาทเท่าอัตราค่าเช่าตามสัญญา จ.1 เดิมนั้นหาได้ไม่ ทั้งกรณีไม่เข้ามาตรา 570 อันจะถือได้ว่าผู้ให้เช่ากับผู้เช่าเป็นอันทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่มีหนังสือสัญญา สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าและผู้ให้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกัน คือ ไม่ชำระค่าเช่าสำหรับเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม 2503 และมกราคม 2504 เป็นการผิดพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ จึงหมดสิทธิใช้ประโยชน์ในห้องเช่ารายพิพาท จำเลยให้การสู้คดีว่าค่า 3 เดือนนั้นโจทก์ไม่มาเก็บตามที่เคยปฏิบัติ จำเลยนำไปชำระโจทก์ไม่ยอมรับ ดังนี้ เมื่อจำเลยสู้คดีอ้างว่าเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยก็ต้องนำสืบ เมื่อไม่สืบพยานก็ต้องฟังว่าจำเลยผิดนัดจริง
เมื่อฟังว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกันแล้ว และการเช่านั้นมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ทั้งเป็นการเช่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ จำเลยจะอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 มาบังคับโจทก์ว่าจะต้องมีการบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าก่อนชั่วระยะเวลาชำระค่าเช่าระยะหนี่งหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่มีหนังสือสัญญา สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าและผู้ให้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกัน คือ ไม่ชำระค่าเช่าสำหรับเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม 2503 และมกราคม 2504เป็นการผิดพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ จึงหมดสิทธิใช้ประโยชน์ในห้องเช่ารายพิพาท จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ค่าเช่า 3 เดือนนั้นโจทก์ไม่มาเก็บตามที่เคยปฏิบัติ จำเลยนำไปชำระโจทก์ไม่ยอมรับ ดังนี้ เมื่อจำเลยสู้คดีอ้างว่าเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยก็ต้องนำสืบ เมื่อไม่สืบพยานก็ต้องฟังว่าจำเลยผิดนัดจริง
เมื่อฟังว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดกันแล้ว และการเช่านั้นมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ทั้งเป็นการเช่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯจำเลยจะอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 มาบังคับโจทก์ว่าจะต้องมีการบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าก่อนชั่วระยะเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่การพิสูจน์ในคดีรับของโจร โจทก์ต้องพิสูจน์ความรู้ของจำเลย
ในคดีความผิดฐานรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น จำเลยก็ต้องสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของร้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่การพิสูจน์ในความผิดฐานรับของโจร โจทก์ต้องพิสูจน์ความรู้ในการรับทรัพย์
ในคดีความผิดฐานรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น จำเลยก็ต้องสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของร้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเอกสารภายในองค์กรโดยผู้มีอำนาจ ไม่ถือเป็นการปลอมแปลงเอกสารหากไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
หนังสือที่บุคคลคนหนึ่งทำขึ้น บุคคลนั้นก็ชอบที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใดได้ก่อนส่งมอบให้บุคคลอื่นไปแม้บุคคลนั้นจะได้ตัดทอนหนังสือนั้นเสียบางส่วน ก็เป็นการกระทำที่ไม่อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้ใดอันจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารปลอมได้
ในชั้นฎีกา ศาลส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยไม่ได้ โจทก์ยืนยันว่าจำเลยแกล้งหลบตัวไม่รับหมายและสำเนาฎีกาด้วยเจตนา ศาลชั้นต้นย่อมส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป
of 323