พบผลลัพธ์ทั้งหมด 138 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลฟ้องบังคับจำนอง: พิจารณาจากที่ตั้งทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้อง
การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำเลยที่ 2นำมาจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้น จะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ อันเป็นการพิจารณา ถึงสิทธิที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำนอง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม แต่เมื่อที่ดินที่จำนองอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องผิดสัญญาซื้อขายและก่อสร้างที่ดิน/อาคาร โอนทรัพย์แล้ว ไม่เป็นคดีอสังหาริมทรัพย์
คำฟ้องโจทก์หาว่าจำเลยผิดสัญญาวางมัดจำซื้อที่ดินและว่าจ้างก่อสร้างอาคาร ซึ่งจำเลยได้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์แล้ว ให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้น มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินและอาคารที่ปลูกสร้างจึงไม่เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิ หรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องค่าเสียหายจากสัญญาซื้อขายและก่อสร้างที่ไม่บังคับแก่ตัวทรัพย์ ถือเป็นคำฟ้องที่ไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
คำฟ้องโจทก์หาว่าจำเลยผิดสัญญาวางมัดจำซื้อที่ดินและว่าจ้างก่อสร้างอาคารซึ่งจำเลยได้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์แล้วให้ชดใช้ค่าเสียหายนั้นมิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินและอาคารที่ปลูกสร้างจึงไม่เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใดๆอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้นได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อที่ไม่ใช่การฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์โดยตรง
คำฟ้องที่ขอให้โอนชื่อในทะเบียนรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยมาเป็นของโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นการขอบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา มิได้บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทนั้นโดยตรง จะฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์พิพาทนั้นตั้งอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1) หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อ ไม่ใช่ฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์โดยตรง จึงไม่เข้า ม.4(1) ว.พ.พ.
คำฟ้องที่ขอให้โอนชื่อในทะเบียนรถยนต์คันพิพาทจากจำเลยมาเป็นของโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ เป็นการขอบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา มิได้บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทนั้นโดยตรงจะฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์พิพาทนั้นตั้งอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์: การบังคับชำระหนี้ตามสัญญาเข้าหุ้นส่วนและการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ตั้งอยู่ในจังหวัดตราด โจทก์ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ให้โจทก์เข้าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แล้วโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ห้าง และห้างใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งโรงน้ำแข็งของห้าง เมื่อเลิกห้างแล้วถ้าหากมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ ก็ให้โจทก์ออกเงินเข้ากองทรัพย์สินของห้าง 50,000 บาทแล้วห้างจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ต่อมาห้างถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายคดีถึงที่สุด โจทก์ขอชำระเงิน 50,000 บาท ให้แก่ห้างและขอให้ห้างจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างไม่ยอมปฏิบัติตามที่โจทก์ขอ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดตราดขอให้บังคับจำเลยรับเงิน 50,000 บาท จากโจทก์ แล้วโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์กับขอให้บังคับห้างออกไปจากที่ดินพิพาทด้วย ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 26, 27 ซึ่งปฏิบัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ แต่ก็ห้ามเฉพาะหนี้เงิน ไม่ได้ห้ามฟ้องหนี้เกี่ยวด้วยการกระทำงดเว้นกระทำ หรือส่งมอบทรัพย์อื่นนอกจากเงินซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังเช่นฟ้องโจทก์ ในคดีนี้ และตามคำฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดตราด ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตไม่จำต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่สั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดอ.เด็ดขาด เพราะโจทก์มิได้ฟ้องว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทและขอให้สั่งถอนการยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีหุ้นส่วนหลังล้มละลาย: โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญาได้ แม้มีการพิทักษ์ทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ตั้งอยู่ในจังหวัดตราด โจทก์ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัด อ.ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดอ. ให้โจทก์เข้าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แล้วโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ห้าง และห้างใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งโรงน้ำแข็งของห้าง เมื่อเลิกห้างแล้วถ้าหากมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ ก็ให้โจทก์ออกเงินเข้ากองทรัพย์สินของห้าง 50,000 บาทแล้วห้างจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ต่อมาห้างถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและ พิพากษาให้ล้มละลายคดีถึงที่สุด โจทก์ขอชำระเงิน 50,000 บาท ให้แก่ห้างและขอให้ห้างจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างไม่ยอมปฏิบัติตามที่โจทก์ขอ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดตราดขอให้บังคับจำเลยรับเงิน 50,000 บาท จากโจทก์ แล้วโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์กับขอให้บังคับห้างออกไปจากที่ดินพิพาทด้วย ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 26,27 ซึ่งปฏิบัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ แต่ก็ห้ามเฉพาะหนี้เงิน ไม่ได้ห้ามฟ้องหนี้เกี่ยวด้วยการกระทำงดเว้นกระทำ หรือส่งมอบทรัพย์อื่นนอกจากเงิน ซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังเช่นฟ้องโจทก์ ในคดีนี้ และตามคำฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดตราด ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตไม่จำต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่สั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. เด็ดขาด เพราะโจทก์มิได้ฟ้องว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทและขอให้สั่งถอนการยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การไม่ระบุที่ตั้งที่พิพาทในคำฟ้อง ไม่เป็นเหตุฟ้องต้องห้าม หากคู่ความและศาลรับรู้ร่วมกัน
คำฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุว่าที่พิพาทตั้งอยู่ในเขตตำบล อำเภอ และจังหวัดใด แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำฟ้องและจำเลยก็ไม่ได้ให้การโต้เถียงในเรื่องที่ตั้งของที่พิพาทก็เป็นที่เห็นได้ว่าคู่ความและศาลต่างก็ยอมรับว่าที่พิพาทอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นนั้นเองไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การยอมรับโดยปริยายของคู่ความและศาล, ฟ้องไม่ขาดอายุความ
คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุว่าที่พิพาทตั้งอยู่ในเขตตำบล อำเภอ และจังหวัดใด แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำฟ้องและจำเลยก็ไม่ได้ให้การโต้เถียงในเรื่องที่ตั้งของที่พิพาท ก็เป็นที่เห็นได้ว่าคู่ความและศาลต่างก็ยอมรับว่าที่พิพาทอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นนั้นเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: แม้มีข้อตกลงฟ้องร้องที่ศาลแพ่ง แต่หากฟ้องละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ศาลจังหวัดก็มีอำนาจพิจารณาได้
บริษัทโจทก์โดยคณะกรรมการขุดเดิมได้นำโรงงานและกิจการผลิตไม้อัดของโจทก์ ไปให้จำเลยเช่าดำเนินกิจการแทนโดยได้ทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนกันมีกำหนด 15 ปี สัญญาเช่ามีข้อความข้อหนึ่งว่า "คู่สัญญาตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับข้อสัญญานี้แล้ว ให้คู่กรณีนำคดีฟ้องร้อง ณ ที่ศาลแพ่ง" ต่อมาบริษัทโจทก์จดทะเบียนกรรมการผู้บริหารงานใหม่ กรรมการชุดใหม่เข้าไปดำเนินกิจการไม่ได้ จึงฟ้องขับไล่จำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการซึ่งโรงงานพิพาทตั้งอยู่ในเขต อ้างว่า จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการผลิตไม้อัดในโรงงานพิพาทปราศจากมูลเหตุที่จะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สัญญาเช่าที่จำเลยทำกับกรรมการบริษัทโจทก์ชุดเก่าขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ ทั้งเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ดังนี้ คู่ความมิได้พิพาทกันเกี่ยวด้วยสัญญาเช่าที่ทำกันไว้ เพราะมิได้ฟ้องร้องหาว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าหรือไม่ยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่า แต่เป็นการฟ้องร้องในมูลละเมิด โจทก์จึงหาตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) ที่จะต้องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งดังที่ตกลงกันไว้ในหนังสือสัญญาเช่าไม่ คำฟ้องคดีนี้เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ทรัพย์พิพาทตั้งอยู่ในเขตศาล จึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว
โจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเกินมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินแก่โจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเกินมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินแก่โจทก์