คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การโอนกรรมสิทธิ์แทนกัน และข้อตกลงนอกศาลที่ไม่ผูกพัน
โจทก์ที่1ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวที่ระบุไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่1เพื่อให้จำเลยที่1ไปโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวให้จำเลยที่2ด้วยจำเลยที่1จึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนของทรัพย์สินที่โจทก์ที่1จะต้องโอนให้แก่จำเลยที่2ไว้แทนจำเลยที่2เมื่อจำเลยที่2ประสงค์จะให้จำเลยที่1ใส่ชื่อจำเลยที่2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่1และจำเลยที่2ได้วางเงินในส่วนที่จำเลยที่2จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ที่1ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยที่1ได้จ่ายแทนไปก่อนไว้ที่ศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยที่1รับไปแล้วจำเลยที่1จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามที่จำเลยที่2มีความประสงค์ดังกล่าวจำเลยที่2จึงขอให้บังคับคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นได้ ส่วนที่จำเลยที่1อ้างว่าจำเลยที่2ได้ตกลงกับจำเลยที่1ว่าไม่ประสงค์จะรับที่ดินและตึกแถวที่จำเลยที่1ถือกรรมสิทธิ์แทนและขอโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่1โดยจำเลยที่1ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่จำเลยที่2ซึ่งจำเลยที่1ได้ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่2แล้วนั้นข้อตกลงกันดังกล่าวมิได้กระทำต่อหน้าศาลศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่2ดังกล่าวและรับบังคับให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: จำเลยมีหน้าที่ใส่ชื่อร่วมหากตกลงกันไว้
โจทก์ที่1โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวที่ระบุไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่1เพื่อให้จำเลยที่1โอนให้จำเลยที่2จำเลยที่1จึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนนี้ไว้แทนจำเลยที่2เมื่อจำเลยที่2ประสงค์จะให้จำเลยที่1ใส่ชื่อจำเลยที่2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่1จำเลยที่1จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการใส่ชื่อจำเลยที่2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวร่วมกับจำเลยที่1ศาลจึงบังคับให้ได้ส่วนที่จำเลยที่1อ้างว่าจำเลยที่2ได้ตกลงกับจำเลยที่1ว่าไม่ประสงค์จะรับที่ดินและตึกแถวที่จำเลยที่1ถือกรรมสิทธิ์แทนและขอโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่1โดยจำเลยที่1ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่จำเลยที่2ซึ่งจำเลยที่1ได้ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่2แล้วนั้นเป็นข้อตกลงกันที่มิได้กระทำต่อหน้าศาลศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงดังกล่าวและรับบังคับให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ: ผู้ขายที่ดินต้องรับผิดชอบ แม้สัญญาจะแบ่งจ่ายค่าภาษีกับผู้ซื้อ
แม้สัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ข้อ 1 ตอนท้ายระบุว่า "...หากจำเลยที่ 2 ชำระเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ภายใน15 วัน นับแต่วันที่ชำระเงินครบถ้วน ส่วนค่าฤชาธรรมเนียม ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมด และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์นั้น โจทก์กับจำเลยที่ 2ออกกันคนละครึ่ง"ก็ตาม แต่ภาษีธุรกิจเฉพาะมิใช่ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่เป็นภาษีอากรตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/2 (6) ประกอบกับ พ.ร.ฎ.ออกตามความใน ป.รัษฎากรว่าด้วย การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร(ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 บังคับให้ผู้ประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ตกอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งภาษีประเภทนี้มิใช่เป็นภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบกิจการจะต้องไปยื่นชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/10 เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอม โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเป็นผู้รับผิดชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเกิดจากลักษณะการประกอบกิจการของโจทก์เอง แม้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2กำหนดให้ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดออกกันคนละครึ่ง ก็จะแปลให้จำเลยที่ 2ต้องชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะครึ่งหนึ่งด้วยไม่ได้ เพราะเท่ากับให้จำเลยที่ 2 ต้องชำระภาษีในกิจการของโจทก์นอกเหนือไปจากภาษีที่ต้องจ่ายในขณะที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ตามข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ขายมีหน้าที่ชำระ แม้สัญญาจะระบุให้แบ่งจ่าย
ภาษีธุรกิจเฉพาะมิใช่ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่เป็นภาษีอากรที่ประมวลรัษฎากรมาตรา91/2(6)บังคับให้ผู้ประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียและมิใช่ภาษีหักณที่จ่ายแต่เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบกิจการจะต้องไปยื่นชำระภายในวันที่15ของเดือนถัดไปตามมาตรา91/10โจทก์เป็นผู้ขายที่ดินให้แก่จำเลยโจทก์จึงเป็นผู้รับผิดชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะแม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมโจทก์และจำเลยจะตกลงกันให้ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดออกกันคนละครึ่งก็จะแปลให้จำเลยต้องชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะครึ่งหนึ่งด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละประเด็นข้อพิพาทโดยการท้าสืบพยานร่วม การถอนคำท้าที่ไม่ชอบ
คู่ความตกลงสืบท. ต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจซึ่งศาลเห็นชอบด้วยเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทอื่นโดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติถ้าจะให้คู่ความแต่ละฝ่ายมีสิทธิถอนคำท้าซึ่งได้ตกลงไว้โดยเหตุผลเพียงแต่เกรงว่าท. จะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่นตามกฎหมายที่จะอ้างได้ย่อมเป็นการไม่ชอบจำเลยจึงไม่มีสิทธิถอนคำท้าโดยอ้างเหตุดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการท้าสืบพยานร่วม: การสละประเด็นข้อพิพาทและการถอนคำท้าที่ไม่ชอบ
คู่ความตกลงท้ากันให้สืบท. พยานคนกลางต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทอื่นโดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติถ้าจะให้คู่ความแต่ละฝ่ายมีสิทธิถอนคำท้าซึ่งตนเองได้ตกลงไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเพียงเพราะเกรงว่าพยานคนกลางจะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่นตามกฎหมายที่จะอ้างได้ย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะมิฉะนั้นคำท้าที่ตกลงกันต่อหน้าศาลก็จะไม่เกิดประโยชน์จำเลยจึงไม่มีสิทธิถอนคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพัน, การลดเบี้ยปรับ, และค่าทนายความที่เหมาะสมกับรูปคดี
ตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาที่โจทก์กับพวกฟ้องจำเลยรวม11คดีภายในกำหนด3วันนับแต่วันทำสัญญาและให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ระบุไว้คืนแก่จำเลยภายในกำหนด15วันนับแต่วันทำสัญญาและจำเลยตกลงจะชำระเงินแก่โจทก์จำนวน18,000,000บาทภายในวันที่31กรกฎาคม2535ปรากฏว่าสำนวนคดีที่ตกลงให้โจทก์ถอนฟ้องเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497จำนวน6คดีและเป็นคดีฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ในทางแพ่งจำนวน5คดีทั้ง11คดีดังกล่าวไม่ใช่คดีอาญาแผ่นดินฉะนั้นข้อตกลงในส่วนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา150แม้ข้อตกลงในส่วนที่ให้จำเลยถอนฟ้องและไม่ดำเนินคดีในข้อหาฟ้องเท็จตามคดีอาญาที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารจ.1ข้อ1(ฎ)เป็นคดีอาญาแผ่นดินซึ่งอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตกเป็นโมฆะก็ตามก็เป็นส่วนที่แยกออกจากส่วนที่สมบูรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา173ซึ่งไม่เกี่ยวกับส่วนที่จำเลยจะต้องชำระเงินเพื่อตอบแทนแก่โจทก์ในการที่โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีทั้ง11สำนวนตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องเช็คขึ้นวินิจฉัยเป็นไปตามประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องจึงไม่เป็นเรื่องนอกประเด็น การที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงยินยอมให้เบี้ยปรับแก่โจทก์เป็นเงิน5,000,000บาทหากจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดสัญญาแสดงว่าจำเลยที่1มีเจตนาผูกพันตามนั้นจำเลยที่1จึงมีหน้าที่ต้องเสียเบี้ยปรับแก่โจทก์แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นโดยเด็ดขาดศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้โดยพิจารณาถึงทางได้เสียของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคดีนี้ไม่ยุ่งยากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความทั้งสองศาลแก่โจทก์รวม3,000,000บาทสูงเกินไปนั้นเป็นดุลพินิจที่เหมาะกับรูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะไปเปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ, ข้อตกลงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย, การลดเบี้ยปรับ, ค่าทนายความ
ตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ให้โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาที่โจทก์กับพวกฟ้องจำเลยรวม 11 คดี ภายในกำหนด 3 วันนับแต่วันทำสัญญา และให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ระบุไว้คืนแก่จำเลยภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทำสัญญา และจำเลยตกลงจะชำระเงินแก่โจทก์จำนวน18,000,000 บาท ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 ปรากฏว่าสำนวนคดีที่ตกลงให้โจทก์ถอนฟ้องเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 จำนวน 6 คดี และเป็นคดีฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ในทางแพ่งจำนวน 5 คดี ทั้ง 11 คดีดังกล่าวไม่ใช่คดีอาญาแผ่นดิน ฉะนั้นข้อตกลงในส่วนดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 150 แม้ข้อตกลงในส่วนที่ให้จำเลยถอนฟ้องและไม่ดำเนินคดีในข้อหาฟ้องเท็จตามคดีอาญาที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสาร จ.1 ข้อ 1 (ฏ) เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ซึ่งอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตกเป็นโมฆะก็ตาม ก็เป็นส่วนที่แยกออกจากส่วนที่สมบูรณ์ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 173 ซึ่งไม่เกี่ยวกับส่วนที่จำเลยจะต้องชำระเงินเพื่อตอบแทนแก่โจทก์ในการที่โจทก์ได้ถอนฟ้องคดีทั้ง11 สำนวน ตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลอุทธรณ์หยิบยกเรื่องเช็คขึ้นวินิจฉัย เป็นไปตามประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง จึงไม่เป็นเรื่องนอกประเด็น
การที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงยินยอมให้เบี้ยปรับแก่โจทก์เป็นเงิน 5,000,000 บาท หากจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาผูกพันตามนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องเสียเบี้ยปรับแก่โจทก์ แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นโดยเด็ดขาด ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับตามสัญญาลงได้โดยพิจารณาถึงทางได้เสียของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 383
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้ไม่ยุ่งยาก ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความทั้งสองศาลแก่โจทก์รวม 3,000,000 บาทสูงเกินไปนั้น เป็นดุลพินิจที่เหมาะกับรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะไปเปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6032/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บอกล้างสัญญาประกันชีวิตเกินกำหนด: สิทธิบอกล้างระงับเมื่อพ้น 1 เดือนนับจากวันที่ทราบข้อเท็จจริง
โรงพยาบาลอุดรธานีได้ถ่ายสำเนาประวัติการรักษาตัวของ บ.มอบให้ ก.และ ก.ได้รายงานแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 16พฤศจิกายน 2533 ซึ่งตามรายงานดังกล่าวระบุว่า จากการตรวจสอบเชื่อได้ว่าบ.มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ก่อนทำประกันอย่างแน่นอนและป่วยเป็นมะเร็ง ทั้งตามหนังสือบอกล้างสัญญาประกันชีวิต จำเลยที่ 1 ก็อ้างว่าแพทย์เคยวินิจฉัยว่า บ.ป่วยเป็นโรคมะเร็งของท่อน้ำดี จำเลยที่ 1 ย่อมมีเหตุควรรู้ได้แล้วว่า บ.เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งและเคยได้รับการตรวจรักษามาแล้ว แต่ บ.ปกปิดความจริงดังกล่าวฉะนั้น จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้รู้มูลเหตุที่จะบอกล้างสัญญาประกันชีวิตตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2533 ที่จำเลยที่ 1 ได้รับรายงานของ ก.แล้ว การที่จำเลยที่ 1 บอกล้างสัญญาประกันชีวิตในวันที่ 19 มิถุนายน 2534 จึงเกิน 1 เดือนนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 รู้มูลเหตุที่จะบอกล้างได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6032/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเนื่องจากปกปิดการเจ็บป่วยเกิน 1 เดือน ทำให้จำเลยแพ้คดี
โรงพยาบาลอุดรธานีได้ถ่ายสำเนาประวัติการรักษาตัวของบ.มอบให้ก.และก.ได้รายงานแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่1เมื่อวันที่16พฤศจิกายน2533ซึ่งตามรายงานดังกล่าวระบุว่าจากการตรวจสอบเชื่อได้ว่าบ.มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ก่อนทำประกันอย่างแน่นอนและป่วยเป็นมะเร็งทั้งตามหนังสือบอกล้างสัญญาประกันชีวิตจำเลยที่1ก็อ้างว่าแพทย์เคยวินิจฉัยว่าบ. ป่วยเป็นโรคมะเร็งของท่อน้ำดีจำเลยที่1ย่อมมีเหตุควรรู้ได้แล้วว่าบ. เคยป่วยเป็นโรคมะเร็งและเคยได้รับการตรวจรักษามาแล้วแต่บ. ปกปิดความจริงดังกล่าวฉะนั้นจึงฟังได้ว่าจำเลยที่1ได้รู้มูลเหตุที่จะบอกล้างสัญญาประกันชีวิตตั้งแต่วันที่16พฤศจิกายน2533ที่จำเลยที่1ได้รับรายงานของก. แล้วการที่จำเลยที่1บอกล้างสัญญาประกันชีวิตในวันที่19มิถุนายน2534จึงเกิน1เดือนนับแต่วันที่จำเลยที่1รู้มูลเหตุที่จะบอกล้างได้จำเลยที่1จึงต้องแก้คดีตามคำท้า
of 103