คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันตามคำพิพากษา แก้ไขได้เฉพาะข้อผิดพลาดเล็กน้อย
เมื่อได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้วย่อมผูกพันจำเลยตามนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาจะแก้ไขข้อผิดพลาดได้ต่อเมื่อเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่นๆการเปลี่ยนแปลงจำนวนและสถานที่ผิดไปจากเดิมมิใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยจำเลยไม่อาจจะขอแก้ไขได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8211/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำหลังมีสัญญาประนีประนอมยอมความ: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายอีก
คดีเดิมเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าทั้งโจทก์สงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายไว้ด้วยแต่ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าต่อไปถึงวันที่31กรกฎาคม2532จำเลยยอมเสียค่าเช่าให้แก่โจทก์เดือนละ10,000บาทศาลได้พิพากษาตามยอมเมื่อจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยพ้นวันที่31กรกฎาคม2532แล้วจำเลยไม่ยอมออกจากทรัพย์สินที่เช่าและไม่ยอมเสียค่าเช่าโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยในคดีก่อนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้ประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำฟ้องซ้อนและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8211/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามสัญญาประนีประนอม และขอบเขตการฟ้องเรียกค่าเสียหายหลังผิดสัญญา
คดีเดิมเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่า ทั้งโจทก์สงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายไว้ด้วย แต่ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าต่อไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2532 จำเลยยอมเสียค่าเช่าให้แก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท ศาลได้พิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยผิดสัญญาประนี-ประนอมยอมความโดยพ้นวันที่ 31 กรกฎาคม 2532 แล้วจำเลยไม่ยอมออกจากทรัพย์สินที่เช่าและไม่ยอมเสียค่าเช่า โจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยในคดีก่อน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้ ประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำ ฟ้องซ้อนและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7879/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้ากันรังวัดที่ดินเป็นข้อวินิจฉัย ศาลใช้ผลรังวัดได้ แม้ไม่เสนอความเห็น
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีก เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จ ศาลได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่ คู่ความแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว การที่จำเลยเพิ่งมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตโดยจำเลยไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามข้ออ้างดังกล่าว และอ้างว่าได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว แม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด แต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7879/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การท้ากันรังวัดที่ดิน ผลการรังวัดผูกพันคู่ความ หากไม่โต้แย้งในชั้นต้นฎีกาใหม่ข้อเท็จจริงเดิมต้องห้าม
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีกเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จศาลได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่ คู่ความแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว การที่จำเลยเพิ่มมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตโดยจำเลยไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามข้ออ้างดังกล่าว และอ้างว่าได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฎว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้วแม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดแต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7581/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาตามยอมมีผลผูกพัน หากไม่อุทธรณ์ภายในกำหนด โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำไว้กับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอมนั้น หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามยอมมิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมนั้นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง(1)(3)และการอุทธรณ์นั้นจำเลยต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามมาตรา 229 เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมภายในกำหนดดังกล่าวย่อมเป็นอันถึงที่สุดและมีผลผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับคดีและนำยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์โดยอ้างเหตุว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยตกลงทำกับโจทก์และที่ศาลพิพากษาตามยอม เป็นนิติกรรมอำพรางที่โจทก์ใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยหลงทำขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7305/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การผิดนัด และผลกระทบต่อดอกเบี้ย
ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษาเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอม จำเลยทั้งสองตกลงยอมให้ค่าปรับแก่โจทก์ต่อเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการปลอดภาระผูกพันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นก่อนวันอันถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เว้นแต่ภาระจำนองที่จำเลยทั้งสองจะต้องดำเนินการปลอดจำนองในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แต่จากคำแถลงของโจทก์ได้ความว่าเมื่อถึงวันนัดไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่คู่ความต่างเลื่อนไปในวันที่ 28 ตุลาคม 2535 จำเลยที่ 2 ไม่ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารการจดทะเบียนนิติกรรม การทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่อาจจะกระทำได้ โดยไม่ปรากฏว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการปลอดภาระจำนองแต่ประการใด ทั้งการที่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมลงชื่อในเอกสารการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ให้สิทธิแก่โจทก์บังคับคดีโดยถือเอาสัญญาประนี-ประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสองต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้อยู่แล้ว แสดงว่าแม้หากจำเลยที่ 2 ไม่ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารการจดทะเบียน โจทก์ก็สามารถใช้คำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ได้โดยปลอดภาระจำนองตามกำหนดนัดในวันที่ 28 ตุลาคม 2535 และการบังคับคดีในลักษณะนี้ก็มิใช่เป็นการบังคับคดีที่จะต้องดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงหาจำต้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอีกแต่ประการใดไม่ ดังนั้น เพียงการที่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมลงชื่อในเอกสารการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะปรับจำเลยทั้งสองได้
การที่โจทก์เพิ่งดำเนินการบังคับคดีชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแทนจำเลยทั้งสองแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2536 โดยต้องเสียดอกเบี้ยแก่ธนาคารนับแต่วันที่ 28 ตุลาคม2535 ถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2536 จึงเท่ากับเป็นการเสียดอกเบี้ยในระหว่างที่โจทก์ผิดนัดไม่ดำเนินการตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิหักดอกเบี้ยส่วนนี้จากเงินที่ต้องชำระแก่จำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7305/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การบังคับคดีโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้จำเลยไม่ลงชื่อในเอกสาร หากโจทก์ดำเนินการตามสัญญาได้
ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษาเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมจำเลยทั้งสองตกลงยอมให้ค่าปรับแก่โจทก์ต่อเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการปลอดภาระผูกพันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นก่อนวันอันถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เว้นแต่ภาระจำนองที่จำเลยทั้งสองจะต้องดำเนินการปลอดจำนองในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แต่จากคำแถลงของโจทก์ได้ความว่าเมื่อถึงวันนัดไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่คู่ความต่างเลื่อนไปในวันที่28ตุลาคม2535จำเลยที่2ไม่ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารการจดทะเบียนนิติกรรมการทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่อาจจะกระทำได้โดยไม่ปรากฏว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการปลอดภาระจำนองแต่ประการใดทั้งการที่จำเลยที่2ไม่ยอมลงชื่อในเอกสารการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ให้สิทธิแก่โจทก์บังคับคดีโดยถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสองต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้อยู่แล้วแสดงว่าแม้หากจำเลยที่2ไม่ยอมลงลายมือชื่อในเอกสารการจดทะเบียนโจทก์ก็สามารถใช้คำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ได้โดยปลอดภาระจำนองตามกำหนดนัดในวันที่28ตุลาคม2535และการบังคับคดีในลักษณะนี้ก็มิใช่เป็นการบังคับคดีที่จะต้องดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงหาจำต้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอีกแต่ประการใดไม่ดังนั้นเพียงการที่จำเลยที่2ไม่ยอมลงชื่อในเอกสารการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะปรับจำเลยทั้งสองได้ การที่โจทก์เพิ่งดำเนินการบังคับคดีชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแทนจำเลยทั้งสองแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์เมื่อวันที่10มิถุนายน2536โดยต้องเสียดอกเบี้ยแก่ธนาคารนับแต่วันที่28ตุลาคม2535ถึงวันที่10มิถุนายน2536จึงเท่ากับเป็นการเสียดอกเบี้ยในระหว่างที่โจทก์ผิดนัดไม่ดำเนินการตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จึงไม่มีสิทธิหักดอกเบี้ยส่วนนี้จากเงินที่ต้องชำระแก่จำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6987/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง, อำนาจฟ้อง, และการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปทำการแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละส่วนเท่าๆกันจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อราคาที่ดินทั้งหมดซึ่งเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง คำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดที่พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินแก่จำเลยร่วมไม่ใช่คำพิพากษาที่ได้แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ของที่ดินอันจะมีผลผูกพันบุคคลภายนอกคดีจึงมีผลผูกพันเฉพาะจำเลยและจำเลยร่วมซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่งไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีโจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกและจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อลงในทะเบียนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามได้กรณีมิใช่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมของจำเลยและจำเลยร่วม กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375ไม่ใช่เรื่องอายุความแต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้องคดีหากโจทก์ทั้งสามถูกแย่งการครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์และไม่ได้ฟ้องคดีภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินทันทีซึ่งเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องและเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยและจำเลยร่วมจะไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจำเลยและจำเลยร่วมก็มีสิทธิที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคสองการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยเห็นว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6235/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้มีส่วนขาด แต่ไม่ถือเป็นผิดนัด
จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์เป็นงวด ๆ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมตลอดมาโดยวางเงินต่อศาล จนถึงงวดสุดท้ายจำเลยก็ได้ชำระเงินภายในกำหนดเวลา จำเลยจึงหาได้ผิดนัดชำระหนี้ไม่ เพียงแต่งวดสุดท้ายชำระหนี้ขาดไป 40,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนหนี้ทั้งหมด2,150,000 บาท แล้ว นับว่าเป็นส่วนน้อยมากและเกิดขึ้นเพราะความเผอเรอ อีกทั้งเมื่อจำเลยทราบเหตุก็ได้นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อให้โจทก์รับไปทันที แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะบิดพลิ้วในการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และต่อมาโจทก์ก็ขอรับเงินดังกล่าวไปโดยมิได้อิดเอื้อน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัด อันจะเป็นเหตุให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มตามฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
of 103