พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2795/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: หน้าที่ของคู่สัญญาในการรังวัดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และผลของการไม่ปฏิบัติตามสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม มีใจความว่า ข้อ 1. จำเลยตกลงขายส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยจะดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2532หากจำเลยไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ข้อ 2. โจทก์ยินยอมซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย และจะชำระราคาที่ดินดังกล่าวให้จำเลยภายในวันที่ 27ธันวาคม 2532 ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดแบ่งแยกรวมตลอดจนถึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โจทก์จะเป็นผู้ออกเองทั้งหมดตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกำหนดเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องเป็นผู้ดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2532 ส่วนโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินและเสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดแบ่งแยกรวมตลอดถึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่แบ่งแยกเมื่อโจทก์ชำระราคาให้จำเลยแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินเพื่อชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 27 ธันวาคม 2532 ก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิ์ซื้อที่ดินพิพาท เพราะตามสัญญาประนีประนอมดังกล่าวมิได้มีข้อตกลงกันไว้เช่นนั้น กรณีนี้เป็นเรื่องของการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอย่างไรก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความ: การรื้อถอนส่วนต่อเติมและการใช้ทางภาระจำยอม
โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่รื้อส่วนที่เป็นหลังคาซึ่งอยู่เหนือเสาโรงรถออกไป จึงขอไม่วางเงินที่จะต้องชำระแก่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หลังคาโรงรถไม่มีในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จะอ้างเป็นเหตุไม่ชำระเงินตามข้อตกลงในสัญญาไม่ได้ โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยไม่รื้อและปล่อยให้ชายคาและหลังคายื่นล้ำคร่อมทางภาระจำยอมที่จำเลยตกลงยอมให้โจทก์ใช้เป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาตามยอม แต่เป็นการโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นโจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความประนีประนอม และผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ไม่มีลายมือชื่อจำเลยร่วม
ใบแต่งทนายความของจำเลยร่วมระบุว่าให้ทนายความของจำเลยร่วมมีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีลายมือชื่อจำเลยร่วมอยู่ด้วย แต่เมื่อทนายความจำเลยร่วม จำเลย ทนายความจำเลย และโจทก์กับทนายความโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมไปด้วยแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้และมีผลผูกพันจำเลยร่วมด้วย
ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยร่วมก่อนมีคำสั่งนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยร่วมก่อนมีคำสั่งนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลยร่วม แม้ไม่มีลายมือชื่อ หากใบแต่งทนายระบุชัดเจน
ใบแต่งทนายความของจำเลยร่วมระบุว่าให้ทนายความของจำเลยร่วมมีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีลายมือชื่อจำเลยร่วมอยู่ด้วยแต่เมื่อทนายความจำเลยร่วม ทนายความจำเลย และโจทก์กับทนายความโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและข้อตกลงหรือการสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมไปด้วยแล้วสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้และมีผลผูกพันจำเลยร่วมด้วย ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยร่วมก่อนมีคำสั่งนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2094/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: หนี้เดิมตามคำพิพากษา ย่อมเป็นเหตุให้ฟ้องซ้ำไม่ได้
ที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์คดีนี้ก็เนื่องมาจากจำเลยทั้งสามรับสภาพหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมนั่นเอง โดยมีการหักจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสามชำระให้โจทก์บ้างแล้วออกไปและรวมดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ค้างชำระเข้าไปด้วยเท่านั้น แต่การรับสภาพหนี้ไม่ก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นแต่ประการใด คงมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้นประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้จึงเนื่องมาจากมูลฐานที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งในคดีเดิมได้วินิจฉัยมาแล้ว การที่โจทก์นำมูลหนี้เดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปได้เองตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) โดยไม่จำต้องมีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอ้างอิงแต่อย่างใด
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปได้เองตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) โดยไม่จำต้องมีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอ้างอิงแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2094/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องหนี้เดิมหลังมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว เป็นฟ้องซ้ำที่ต้องห้าม
ที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์คดีนี้ก็เนื่องมาจากจำเลยทั้งสามรับสภาพหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมนั่นเอง โดยมีการหักจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสามชำระให้โจทก์บ้างแล้วออกไปและรวมดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ค้างชำระเข้าไปด้วยเท่านั้นแต่การรับสภาพหนี้ไม่ก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นแต่ประการใดคงมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้นประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้จึงเนื่องมาจากมูลฐานที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งในคดีเดิมได้วินิจฉัยมาแล้ว การที่โจทก์นำมูลหนี้เดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) โดยไม่จำต้องมีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอ้างอิงแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อพิสูจน์การรุกล้ำ กรณีคู่ความตกลงให้รังวัดเพื่อตัดสินคดี
โจทก์และจำเลยท้ากันโดยขอให้หัวหน้าฝ่ายรังวัดสำนักงานที่ดินร่วมกับจ่าศาลไปรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 30471 เพื่อให้ทราบว่าการวางท่อประปาตามฟ้องรุกล้ำในที่ดินดังกล่าวหรือไม่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการวางท่อประปาตามฟ้องรุกล้ำที่ดินของโจทก์ตรงตามคำท้าแล้ว จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามคำท้าข้อที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งว่า เส้นดำหมายเขียวเป็นแนวเขตรัศมีทางหลวงอันเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ของกรมทางหลวงนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่นอกเหนือไปจากคำท้า ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความต้องอาศัยแผนที่พิพาทเป็นหลัก แม้มีการกันที่ดินเป็นทางสาธารณประโยชน์
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาแผนที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ด้วยดังนั้นการรังวัดแบ่งที่พิพาท จึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวโดยอาศัยแผนที่พิพาทเป็นหลักในการรังวัด สัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า จำเลยยอมแบ่งแยกที่ดินพิพาทตามเส้นประสีม่วงทั้งหมด กับส่วนที่เป็นเครื่องหมาย////// ที่ปรากฏในแผนที่พิพาทแก่โจทก์ แต่มิได้กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความให้ชัดว่าจะต้องวัดจากตรงจุดใดของเครื่องหมายดังกล่าว ทั้งมิได้กำหนดว่าต้องวัดจากทางทิศใดไปทิศใดและมีความยาวเท่าใด ครั้นโจทก์จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดตามคำสั่งศาล จึงปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่พิพาทไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์ โจทก์จึงนำรังวัดจากจุดที่เจ้าพนักงานที่ดินกันไว้ไปทางทิศเหนือ มีความยาว 15.16 เมตรเป็นเหตุให้จำเลยไม่ยินยอม ศาลชั้นต้นนัดโจทก์จำเลยมาสอบถามโจทก์ยอมรับว่าได้นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดจากจุดดังกล่าวซึ่งไม่ตรงตามแผนที่พิพาทจริง และโจทก์จำเลยยอมรับกันว่าความจริงต้องวัดจากจุดซึ่งเป็นเสาหน้าบ้านต้นแรกซึ่งอยู่ริมทางสาธารณประโยชน์ไปทางทิศเหนือ 15.16 เมตร และโจทก์จำเลยได้ตกลงกันนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดใหม่ให้ตรงตามแผนที่พิพาทข้อตกลงของโจทก์จำเลยเช่นนี้เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการเน้นเพื่อให้ทราบแน่ว่าการรังวัดใหม่จะต้องเริ่มวัดจากจุดใดไปทางทิศใดและมีความยาวเท่าใด ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นนัดโจทก์จำเลยมาสอบถามและตกลงกันดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการทำความเข้าใจระหว่างโจทก์จำเลยให้ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงในสัญญาประนีประนอมยอมความหาใช่เป็นข้อตกลงใหม่หรือเพิ่มเติมแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้วไม่ และแม้เจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินทางด้านทิศใต้ไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์อย่างไรก็ไม่ผูกพันคู่ความคดีนี้และไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาคดีไปตามยอมแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงถอนคำร้องขัดทรัพย์มิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิขอกันส่วนยังคงมีอยู่
แม้ในชั้นร้องขัดทรัพย์ผู้ร้องจะตกลงกับโจทก์ว่า ผู้ร้องจะชำระหนี้แทนจำเลยภายในเวลาที่กำหนดเพื่อให้โจทก์ถอนการยึดทรัพย์ที่ร้องขัดทรัพย์และในที่สุดผู้ร้องก็ผิดนัดไม่นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็หาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ไม่ เพราะการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกัน ตามบทกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องเมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์เสียแล้ว จึงไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมอีกต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการประนีประนอมยอมความ แต่เป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความประกอบคำร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวเท่านั้นทั้งศาลชั้นต้นสั่งเพียงว่า อนุญาตให้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ได้และจำหน่ายคดีจากสารบบความ มิได้สั่งหรือพิพากษาตามที่ผู้ร้องตกลงกับโจทก์แต่อย่างใด ตามคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องยังสงวนสิทธิที่ผู้ร้องมีเหนือทรัพย์สินที่โจทก์นำยึด และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นระบุว่า "วันนี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์และแถลงว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดอีกต่อไป ไม่ร้องขัดทรัพย์อีก" และศาลได้ขีดฆ่าคำว่า"ไม่ขอร้องกันส่วนด้วย" ออก แสดงว่าผู้ร้องจะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินเฉพาะการร้องขัดทรัพย์เท่านั้น แต่ยังติดใจที่จะขอกันส่วนอยู่ดังนั้น สิทธิของผู้ร้องในการขอกันส่วนจึงยังมีอยู่ และการใช้สิทธิของผู้ร้องหาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่เพราะผู้ร้องได้แสดงเจตนาสงวนสิทธิไว้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงหลังถอนฟ้องไม่เป็นประนีประนอมยอมความ สิทธิในการขอกันส่วนยังคงอยู่
การตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี โดยมิได้มีการถอนฟ้อง หากคู่ความตกลงกันหลังจากถอนฟ้องแล้วย่อมไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันอีก ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความ