คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล ไม่จำกัดเฉพาะคำขอในฟ้อง หากไม่ขัดกฎหมาย ศาลต้องพิพากษาตามยอม
สัญญาประนีประนอมยอมความที่กระทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้น มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องพิจารณาสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายที่ห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเพียงแต่ต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดีหรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นนั้นๆ หากข้อตกลงนั้นมิได้ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้ว ศาลก็ต้องพิพากษาไปตามยอม ไม่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอหรือไม่
โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวทำสัญญาให้จำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินและตึกพิพาทแทน ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ยึดที่ดินและตึกพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์การ ที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โจทก์ได้รับเงินค่าเช่าที่ดินและตึกพิพาทตลอดชีวิตของโจทก์แทนเงินจากการขายทอดตลาด โดยโจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการตกลงกันในขอบเขตแห่งประเด็นในคดีหรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคดีแล้ว คำพิพากษาตามยอมก็ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะเป็นการที่โจทก์ได้จำหน่ายที่ดินและตึกพิพาทตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 94 และไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 และมาตรา 113 ศาลย่อมพิพากษาให้เป็นไปตามยอมได้
หมายเหตุ (โปรดดูฎีกาที่ 1848/2516, 2170/2519 และ 2487/2523)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่จำกัดเฉพาะคำขอเดิม หากไม่ขัดกฎหมาย
สัญญาประนีประนอมยอมความที่กระทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้น มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องพิจารณาสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายที่ห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเพียงแต่ต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดีหรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นนั้นๆ หากข้อตกลงนั้นมิได้ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้ว ศาลก็ต้องพิพากษาไปตามยอมไม่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอหรือไม่ โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวทำสัญญาให้จำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินและตึกพิพาทแทน ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ยึดที่ดินและตึกพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์การที่คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโจทก์ได้รับเงินค่าเช่าที่ดินและตึกพิพาทตลอดชีวิตของโจทก์แทนเงินจากการขายทอดตลาดโดยโจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการตกลงกันในขอบเขตแห่งประเด็นในคดีหรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคดีแล้วคำพิพากษาตามยอมก็ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเพราะเป็นการที่โจทก์ได้จำหน่ายที่ดินและตึกพิพาทตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 94 และไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 และมาตรา 113 ศาลย่อมพิพากษาให้เป็นไปตามยอมได้ หมายเหตุ (โปรดดูฎีกาที่ 1848/2516,2170/2519 และ2487/2523)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3887/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าตามสัญญาเช่าที่จดทะเบียนเมื่อมีการขายทรัพย์สิน ผู้รับโอนต้องรับสิทธิและหน้าที่เดิม
ผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดหรือร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 288 หากแต่ขอให้ศาลมีคำสั่งเปิดกุญแจตึกแถวที่ผู้ร้องเช่าไว้ ให้ผู้ร้องได้ใช้สิทธิตามปกติ เพราะมีส่วนได้เสียในวิธีบังคับคดีอันเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้จดทะเบียนสิทธิไว้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280(2) ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลคุ้มครองสิทธิของตนได้ตามกฎหมาย สัญญาเช่ามีว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าก็ดี หรือผู้ให้เช่า ขายทรัพย์สินก็ดี หรือผู้เช่าผิดสัญญาก็ดี ผู้เช่ายอมให้ถือว่าผู้เช่ายอมออกจากที่เช่า เมื่อการเช่าตึกแถวพิพาทได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีกำหนดเวลาเช่า 17 ปีเศษ แม้สัญญาเช่าจะมีข้อสัญญาว่าหากผู้ให้เช่าขายทรัพย์ที่เช่าก่อนครบกำหนดสัญญา ผู้เช่าต้องออกจากที่เช่า ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการขัดกับเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญา แม้ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของเดิมขายทรัพย์สินที่เช่าไปแล้ว ผู้รับโอนทรัพย์ที่เช่าต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569เมื่อสัญญายังไม่ครบกำหนด ต้องถือว่าสัญญาเช่ายังมีผลบังคับอยู่โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณี แม้มีการโอนทรัพย์สินให้บุคคลภายนอก ศาลบังคับได้
การที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันยอมยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลภายนอกคดี ข้อตกลงดังกล่าวหาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดไม่
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความปรากฏข้อความชัดว่า จำเลยยอมแบ่งที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 40888 ให้กับ ส. ธ. พ. และโจทก์โดยระบุเนื้อที่ดินที่จะแบ่งให้แต่ละคนไว้ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย และจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 42487 ให้กับ ส. ทั้งหมด หากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ให้บังคับคดีได้ทันที จำเลยยินยอมจะยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะแบ่งให้กับโจทก์และบุคคลดังกล่าว เมื่อได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความโจทก์เท่านั้น คดีได้ความว่าส. ธ. และ พ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่ ดังนี้โจทก์มีส่วนได้เสียตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตรงได้ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้ พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว หาได้บังคับ เอาแก่บุคคลภายนอกแต่อย่างใดไม่ การบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอยู่ในวิสัยที่จำเลยปฏิบัติได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณี แม้จะเกี่ยวข้องกับการโอนทรัพย์สินให้บุคคลภายนอก หากบุคคลภายนอกแสดงเจตนา
การที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันยอมยกทรัพย์สินให้แก่บุคคลภายนอกคดี ข้อตกลงดังกล่าวหาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดไม่
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความปรากฏข้อความชัดว่า จำเลยยอมแบ่งที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 40888ให้กับ ส.ธ.พ. และโจทก์โดยระบุเนื้อที่ดินที่จะแบ่งให้แต่ละคนไว้ ส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย และจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 42487 ให้กับ ส. ทั้งหมด หากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ให้บังคับคดีได้ทันที จำเลยยินยอมจะยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะแบ่งให้กับโจทก์และบุคคลดังกล่าว เมื่อได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความโจทก์เท่านั้น คดีได้ความว่า ส.ธ. และ พ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่ ดังนี้โจทก์มีส่วนได้เสียตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตรงได้ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว หาได้บังคับเอาแก่บุคคลภายนอกแต่อย่างใดไม่ การบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอยู่ในวิสัยที่จำเลยปฏิบัติได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละประเด็นในชั้นชี้สองสถาน การวินิจฉัยตามกฎหมายพิเศษ (พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์) และการนำข้อเท็จจริงที่ยอมรับมาใช้ในการตัดสิน
เดิมศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีไว้ แล้ว ต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่า ขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมด และติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามคำแถลงที่ศาลชั้นต้นจดไว้นั้นดังนี้หมายความว่า ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นในชั้นชี้สองสถาน คู่ความขอสละ หาได้หมายความรวมถึงข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถือว่าจำเลยยอมรับแล้วตามกฎหมายไม่ ศาลจึงย่อมนำมารับฟังและวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน เมื่อหุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็น หลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 ในการวินิจฉัยคดีศาลต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกันไม่จำต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามความประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษ ก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2398/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยคดีตามข้อตกลงคู่ความ และการบังคับใช้กฎหมายเฉพาะ (พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์) เหนือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เดิมศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีไว้แล้วต่อมาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่า ขอสละประเด็นในชั้นชี้สองสถานทั้งหมด และติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตามคำแถลงที่ศาลชั้นต้นจดไว้นั้น ดังนี้ หมายความว่า ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นในชั้นชี้สองสถานคู่ความขอสละ หาได้หมายความรวมถึงข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การที่ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถือว่าจำเลยยอมรับแล้วตามกฎหมายไม่ ศาลจึงย่อมนำมารับฟังและวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกสำนวน
เมื่อหุ้นพิพาทที่โจทก์ซื้อตามคำสั่งของจำเลยเป็น หลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
ในการวินิจฉัยคดีศาลต้องนำกฎหมายมาปรับแก่คดีให้ตรงตามรูปคดีที่พิพาทกัน ไม่จำต้องพิพากษาไปตามคำแถลงของคู่ความหรือตามความประสงค์ของคู่ความ เมื่อฟังว่าเป็นเรื่องพิพาทกันตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอันเป็นกฎหมายพิเศษก็จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ แม้จะเป็นความประสงค์ของคู่ความหรือคู่ความแถลงขอก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือ: ศาลต้องยึดผลการพิสูจน์จริง แม้จำเลยไม่วางเงินค่าตรวจพิสูจน์
โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้พิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค.ภรรยาของจำเลยในเอกสารใบมอบอำนาจว่า ถ้าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของ ค.จริงจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่โจทก์ยอมแพ้ โจทก์และจำเลยต่างสละข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด และในวันเดียวกันนั้นเองศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์และจำเลยวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ฝ่ายละ 2,000 บาท ภายใน 20 วัน นับแต่วันสั่ง ถ้าฝ่ายใดไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาก็ให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดี ดังนี้แม้จำเลยมิได้วางเงินดังกล่าวภายในกำหนด ก็หามีผลทำให้จำเลยตกเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะการไม่วางเงินตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ เพราะการที่ฝ่ายใดไม่วางเงินให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นเป็นเรื่องนอกเหนือที่คู่ความท้ากัน ศาลชั้นต้นจะนำมาเป็นเหตุวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีหาได้ไม่ คำท้ายังมีผลบังคับได้ต่อไป เมื่อกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค. โจทก์จึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำท้าพิสูจน์ลายมือชื่อและการบังคับใช้ตามคำสั่งศาล ศาลต้องวินิจฉัยตามผลการพิสูจน์ลายมือชื่อ ไม่ใช่การไม่วางเงิน
โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้พิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค.ภรรยาของจำเลยในเอกสารใบมอบอำนาจว่า ถ้าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของ ค. จริงจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่โจทก์ยอมแพ้โจทก์และจำเลยต่างสละข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด และในวันเดียวกันนั้นเองศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์และจำเลยวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ฝ่ายละ 2,000 บาท ภายใน 20 วันนับแต่วันสั่ง ถ้าฝ่ายใดไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาก็ให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดี ดังนี้แม้จำเลยมิได้วางเงินดังกล่าว ภายในกำหนด ก็หามีผลทำให้จำเลยตกเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะการไม่วางเงินตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ เพราะการที่ฝ่ายใดไม่วางเงินให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นเป็นเรื่องนอกเหนือที่คู่ความท้ากัน ศาลชั้นต้นจะนำมาเป็นเหตุวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีหาได้ไม่ คำท้ายังมีผลบังคับได้ต่อไป เมื่อกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค. โจทก์จึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาตามยอม: อำนาจทนาย, การผูกพันตามสัญญา, และข้อจำกัดในการขอแก้ไข
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระราคาสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันรับสินค้าจนกว่าจะชำระเสร็จ ทนายจำเลยซึ่งตามใบแต่งทนายระบุให้มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ด้วย ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่า จำเลยยอมชำระราคาสินค้าตามฟ้องแก่โจทก์ภายในวันที่ 15 กันยายน 2525 หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีทันทีและยอมเสียดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้ จำเลยจะมาร้องขอให้ศาลแก้ คำพิพากษาตามยอมโดยอ้างว่าทนายจำเลยทำสัญญายอมให้ดอกเบี้ยแก่ โจทก์เกินคำขอหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นการขอแก้ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่นๆ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143. และที่จำเลยอ้างว่า จำเลยไม่มีความรู้ไม่ทราบว่าคำพิพากษาชอบหรือไม่ จึงเป็นกรณีพิเศษที่จะขอให้แก้คำพิพากษาได้นั้น ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่า กรณีของจำเลยเป็นกรณีพิเศษที่จะให้แก้คำพิพากษาได้
of 103