คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 856/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การขายที่ดินโดยไม่แจ้งตามสัญญา ไม่ถึงขั้นต้องคืนที่ดิน
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อศาลมีว่า โจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 จะนำไปขายโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนไม่ได้ ดังนี้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ก็ไม่มีข้อสัญญาว่าจะต้องคืนที่ดินให้โจทก์ตามเดิม โจทก์จึงฟ้องเรียกคืนที่พิพาทกลับมาเป็นของตนอันเป็นข้อนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการท้าสาบานในคดีแพ่ง: การไม่กล้าสาบานถือเป็นการยอมแพ้ตามที่ตกลงกัน
คู่ความตกลงกันให้ถือเอาข้อแพ้ชนะจากการที่จำเลยกับพวกอีก 2 คน กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบานหรือไม่ ถึงวันนัด ว. พวกของจำเลยคนหนึ่งใน 2 คน ไม่ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบาน โดยแถลงต่อศาลว่าไม่กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบานเพราะบุตรห้ามเกรงว่าคำสาบานจะติดถึงลูกหลานแม้จะอ้างเหตุดังกล่าวก็เป็นที่แน่นอนว่าไม่กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบาน คดีต้องเป็นไปตามที่คู่ความได้ท้ากันทุกประการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการท้าสาบานในคดีแพ่ง: การไม่ยอมสาบานถือเป็นการยอมแพ้ตามข้อตกลง
คู่ความตกลงกันให้ถือเอาข้อแพ้ชนะจากการที่จำเลยกับพวกอีก 2 คนกล้าสาบานและดื่มน้ำสาบานหรือไม่ ถึงวันนัด ว.พวกของจำเลยคนหนึ่งใน 2 คนไม่ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบาน โดยแถลงต่อศาลว่าไม่กล้าสาบานและดื่มน้ำสาบาน เพราะบุตรห้ามเกรงว่าคำสาบานจะติดถึงลูกหลาน แม้จะอ้างเหตุดังกล่าวก็เป็นที่แน่นอนว่าไม่กลัวสาบานและดื่มน้ำสาบาน คดีต้องเป็นไปตามที่คู่ความได้ท้ากันทุกประการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบตกแก่คู่ความที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงใหม่เพื่อสนับสนุนคำให้การ หากไม่นำสืบ ย่อมแพ้คดี
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดิน อ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยให้การยอมรับว่าจำเลยอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ แต่อ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ได้ เพราะโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกันในการผลิตไม้ปาเก้ออกจำหน่ายเพื่อแบ่งผลกำไร และขณะนี้ห้างหุ้นส่วนยังไม่เลิกกัน ดังนี้จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยว่าตนมีสิทธิอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ได้ซึ่งถ้าเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้ จำเลยก็ชนะคดี หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนี้จึงตกแก่จำเลย เมื่อคู่ความท้ากันว่าหน้าที่นำสืบตกฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นแพ้คดี โดยคู่ความไม่สืบพยาน จำเลยก็ต้องแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยจำนอง - ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิด
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงเช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ที่โจทก์จำนองไว้ต่อธนาคาร ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาได้ ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีกล่าวถึงเรื่องไถ่ถอนจำนอง ก็ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนองแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยหนี้จำนองทรัพย์สินที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์และโจทก์ต้องเสียให้ธนาคารในระหว่างจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การเรียกร้องดอกเบี้ยจำนองเมื่อไม่มีข้อตกลงชัดเจน
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงเช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ที่โจทก์จำนองไว้ต่อธนาคาร ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาได้ ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีกล่าวถึงเรื่องไถ่ถอนจำนองก็ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนองแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยหนี้จำนองทรัพย์สินที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์ และโจทก์ต้องเสียให้ธนาคารในระหว่างจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีครอบครองที่ดิน: ศาลพิพากษาตามยอมได้ แม้มีประเด็นนอกคำขอท้ายฟ้อง
ฟ้องขอให้ถอนชื่อจาก น.ส.3 แล้วแบ่งที่นาซึ่งโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของรวม คู่ความยอมความมอบข้าวเปลือกในนาพิพาทแก่โจทก์ด้วยเป็นเรื่องอยู่ในประเด็นแห่งคดี ศาลพิพากษาตามยอมได้ ไม่เฉพาะแต่ที่มีคำขอท้ายฟ้องดัง มาตรา142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่าโรงแรม: แม้ใบอนุญาตไม่ต่อ แต่การเช่ายังมีผล โจทก์ต้องชำระค่าเช่าตามสัญญา
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ย่อมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือนหลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการที่ใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าโรงแรม: การรับผิดค่าเช่าแม้ใบอนุญาตจะถูกระงับ หากยังได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สิน
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ยอมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้ เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือน หลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินกิจการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรังวัดพื้นที่อาคารเพื่อพิพากษาคดีรุกล้ำที่ดิน โดยใช้ข้อตกลงเรื่องวิธีการรังวัดเป็นหลัก
โจทก์จำเลยเช่าที่ดินจากจำเลยร่วมมาปลูกห้องแถว โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้ง โดยต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งปลูกห้องแถวรุกล้ำที่ดินซึ่งตนเช่าขอให้รื้อถอนไปชั้นพิจารณาคู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่าอาคารปลูกสร้างของจำเลยมีเนื้อที่เกินกว่า 45 ตารางวาตามสัญญาเช่าหรือไม่ ถ้าเกินจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เกินโจทก์ยอมแพ้ วิธีรังวัดคู่ความตกลงกันให้วัดจากด้านนอกของอาคาร และให้คำนวณเนื้อที่โดยให้จ่าศาลและช่างรังวัดของจำเลยร่วมเป็นผู้รังวัด ผลของการรังวัดปรากฏว่าอาคารปลูกสร้างของจำเลยมีเนื้อที่ตามที่เจ้าพนักงานที่ไปรังวัดคำนวณเนื้อที่ได้ 56.80 ตารางวา ดังนั้น เมื่อคู่ความตกลงให้ถือตัวอาคารของจำเลยเป็นหลักในการรังวัดมิใช่ให้ถือพื้นที่ที่จำเลยเช่าเป็นหลักรังวัดการรังวัดจึงถูกต้องตามคำท้า และเมื่อผลของการรังวัดปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีศาลก็ต้องพิพากษาให้เป็นไปตามคำท้านั้น
of 103