คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการรังวัดพื้นที่อาคารเป็นหลัก และผลผูกพันตามคำท้าในคดีรุกล้ำ
โจทก์จำเลยเช่าที่ดินจากจำเลยร่วมมาปลูกห้องแถว โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้ง โดยต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งปลูกห้องแถวรุกล้ำที่ดินซึ่งตนเช่าขอให้รื้อถอนไป ชั้นพิจารณาคู่ความท้ายกันให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า อาคารปลูกสร้างของจำเลยมีเนื้อที่เกินกว่า 45 ตารางวาตามสัญญาเช่าหรอไม่ ถ้าเกินจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เกินโจทก์ยอมแพ้ วิธีรังวัดคู่ความตกลงกันให้วัดจากด้านนอกของอาคาร และให้คำนวณเนื้อที่โดยให้จ่าศาลและช่างรังวัดของจำเลยร่วมเป็นผู้รังวัด ผลของการรังวัดปรากฏว่าอาคารปลูกสร้างของจำเลยมีเนื้อที่ตามที่เจ้าพนักงานที่ไปรังวัดคำนวณเนื้อที่ได้ 56.80 ตารางวา ดังนั้น เมื่อคู่ความตกลงให้ถือว่าอาคารของจำเลยเป็นหลักในการรังวัด มิใช่ให้ถือพื้นที่ที่จำเลยเช่าเป็นหลักรังวัด การรังวัดจึงถูกต้องตามคำท้า และเมื่อผลของการรังวัดปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลต้องพิพากษาให้เป็นไปตามคำท้านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินพิพาทติดกัน เจ้าของไม่ชัดเจน ศาลถือเป็นเจ้าของร่วมและแบ่งตามแนวคันนา
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ปรากฏว่าที่พิพาทตามแผนที่วิวาทเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่บนคันนาด้านเหนือหมายอักษร ก. มีหลักไม้แก่นปักอยู่เป็นจุดรวมในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้าดื่มน้ำสาบานกันว่าแต่ละฝ่ายเป็นฝ่ายปั้นคันนาพิพาทขึ้นก่อน เมื่อดื่มน้ำสาบานกันตามคำท้าแล้วจึงขอให้ศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดประเด็นเดียวโดยต่างไม่สืบพยานกันและแถลงรับกันว่าที่พิพาทอยู่บนคันนาซึ่งเป็นเขตที่ดินของที่ดินโจทก์จำเลยที่อยู่ติดต่อกัน และต่างฝ่ายต่างถือว่าเป็นเขตของตน ดังนี้เมื่อที่พิพาทเป็นคันนากั้นเขตที่ดินของโจทก์จำเลยติดต่อกัน และต่างไม่นำสืบพยานว่าใครเป็นฝ่ายครอบครองก็ต้องถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันตามข้อสันนิษฐานของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1344 และศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทคนละครึ่งโดยลากเส้นจากหมายอักษร ก. มายังจุดแบ่งครึ่งด้านทิศใต้และให้ด้านที่ติดต่อกับที่ดินของฝ่ายใดเป็นของฝ่ายนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินพิพาทติดกัน เจ้าของร่วมตามสันนิษฐานกฎหมาย หากต่างฝ่ายไม่พิสูจน์การครอบครอง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ปรากฏว่าที่พิพาทตามแผนที่วิวาทเป็นรูปสามเหลี่ยม อยู่บนคันนาด้านเหนือหมายอักษร ก. มีหลักไม้แก่นปักอยู่เป็นจุดรวม ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้าดื่มน้ำสาบานกันว่าแต่ละฝ่ายปั้นคันนาพิพาทขึ้นก่อน เมื่อดื่มน้ำสาบานกันตามคำท้าแล้ว จึงขอให้ศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด ประเด็นเดียว โดยต่างไม่สืบพยานกันและแถลงรับกันว่าที่พิพาทอยู่บนคันนาซึ่งเป็นเขตที่ดินของที่ดินโจทก์จำเลยที่อยู่ติดต่อกัน และต่างฝ่ายต่างถือว่าเป็นเขตของตน ดังนี้ เมื่อที่พิพาทเป็นคันนากั้นเขตที่ดินของโจทก์จำเลยติดต่อกัน และต่างไม่นำสืบพยานว่าใครเป็นฝ่ายครอบครองก็ต้องถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันตามข้อสันนิษฐานของ ป.พ.พ.มาตรา 1344 และศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทคนละครึ่งโดยลากเส้นจากหมายอักษร ก.มายังจุดแบ่งครึ่งด้านทิศใต้และให้ด้านที่ติดต่อกับที่ดินของฝ่ายใดเป็นของฝ่ายนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์เรื่องฉ้อฉลทนายร่วมกับโจทก์ ศาลอุทธรณ์สั่งไต่สวนและวินิจฉัย
ศาลพิพากษาให้เป็นไปตามยอม จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าทนายจำเลยฉ้อฉลร่วมกับโจทก์ ดังนี้ อุทธรณ์ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1),225 ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนข้อที่จำเลยอ้างว่าฉ้อฉล แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว ฎีกาต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความและสิทธิอาศัย: ศาลไม่อาจบังคับสิทธิเกินขอบเขตที่ตกลงกันไว้
เมื่อโจทก์จำเลยได้ประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว ถ้าจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีเดิม จะนำคดีเรื่องเดียวกันที่ศาลชี้ขาดแล้วมาฟ้องขอให้ศาลบังคับเป็นอีกคดีหนึ่งโดยอ้างเหตุว่าจำเลยขัดขวาง ไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีเดิม ซึ่งยังมีผลบังคับได้อยู่ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง ส่วนการที่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันเองนอกเหนือจากสัญญาประนีประนอมยอมความอีกนั้น เมื่อโจทก์มาฟ้องเป็นคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและผิดข้อตกลงตามสัญญาที่ทำกันเอง เรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิม ศาลย่อมวินิจฉัยให้ในคดีหลังเฉพาะในข้อที่ว่าจำเลยผิดสัญญาที่ทำกันเองหรือไม่ และจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เท่านั้น
โจทก์จดทะเบียนสิทธิอาศัยและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธินั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1406 ได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้อาศัยไว้ว่า ถ้าผู้ให้อาศัยมิได้ห้ามไว้โดยชัดแจ้ง ผู้อาศัยจะเก็บดอกผลธรรมดาหรือผลแห่งที่ดินมาใช้เพียงที่จำเป็นแก่ความต้องการของครัวเรือนก็ได้ และมาตรา 1429 บัญญัติว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภาระติดพันอันเป็นเหตุให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิ ฯลฯ ได้ใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ ในเรื่องนี้โจทก์ได้จดทะเบียนภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ไว้ว่า โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยอาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิต เมื่อโจทก์มิได้ตั้งรูปคดีที่จะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิอาศัยและสิทธิภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติต่าง ๆ ในมาตรา 1409 ศาลก็จะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบอาคารในบริเวณที่ดินที่จำลยอาศัยให้แกโจทก์และห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับอาคารดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิอาศัย และขอบเขตการบังคับคดี การฟ้องร้องซ้ำซ้อน
เมื่อโจทก์จำเลยได้ประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว ถ้าจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีเดิม จะนำคดีเรื่องเดียวกันที่ศาลชี้ขาดแล้วมาฟ้องขอให้ศาลบังคับเป็นอีกคดีหนึ่งโดยอ้างเหตุว่าจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีเดิมซึ่งยังมีผลบังคับได้อยู่ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง ส่วนการที่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันเองนอกเหนือจากสัญญาประนีประนอมยอมความอีกนั้น เมื่อโจทก์มาฟ้องเป็นคดีใหม่อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและผิดข้อตกลงตามสัญญาที่ทำกันเอง เรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในคดีเดิม ศาลย่อมวินิจฉัยให้ในคดีหลังเฉพาะในข้อที่ว่าจำเลยผิดสัญญาที่ทำกันเองหรือไม่ และจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เท่านั้น
โจทก์จดทะเบียนสิทธิอาศัยและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ทรงทรัพยสิทธิ์นั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1406 ได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้อาศัยไว้ว่า ถ้าผู้ให้อาศัยมิได้ห้ามไว้โดยชัดแจ้ง ผู้อาศัยจะเก็บดอกผลธรรมดาหรือผลแห่งที่ดินมาใช้เพียงที่จำเป็นแก่ความต้องการของครัวเรือนก็ได้ และมาตรา 1429 บัญญัติว่าอสังหาริมทรัพย์อาจตกอยู่ในภาระติดพันอันเป็นเหตุให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิ ฯลฯ ได้ใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ ในเรื่องนี้โจทก์ได้จดทะเบียนภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ไว้ว่า โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยอาศัยและทำกินในที่ดินพิพาทได้ตลอดชีวิต เมื่อโจทก์มิได้ตั้งรูปคดีที่จะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิอาศัยและสิทธิภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์หรือฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติต่างๆ ในมาตรา 1409 ศาลก็จะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบอาคารในบริเวณที่ดินที่จำเลยอาศัยให้แก่โจทก์และห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับอาคารดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมซื้อขายที่ดิน: กำหนดเวลาชำระราคาเป็นสาระสำคัญ หากผิดนัดสิทธิซื้อขายสิ้นสุด
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าจำเลยยอมซื้อที่ดินส่วนของโจทก์ โดยมีกำหนดระยะเวลาชำระค่าที่ดินแน่นอน การที่โจทก์ได้เงินค่าที่ดินช้ากว่าเวลาที่ตกลงกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงย่อมประสงค์ที่จะได้เงินค่าที่ดินในระยะเวลาที่กำหนด และในการตกลงกับโจทก์จำเลยก็ย่อมคำนึงถึงความประสงค์ดังกล่าวนี้แล้ว เมื่อเจตนาของโจทก์จำเลยมีอยู่เช่นนี้ จะถือกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้นั้นไม่เป็นข้อสาระสำคัญย่อมไม่ถูกต้อง จำเลยจะอ้างว่าจำเลยมีสิทธิจะซื้อที่ดินโจทก์ได้ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่มีคำพิพากษาตามยอม จึงไม่ชอบด้วยเหตุผลและเจตนาของโจทก์จำเลย
ในสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมซื้อที่ดินส่วนของโจทก์ตามฟ้อง โดยมีกำหนดระยะเวลาชำระราคาค่าที่ดินแน่นอน หากจำเลยผิดนัดโจทก์บังคับคดีได้ทันที เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดมิได้ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดเวลา จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้บังคับคดีแก่โจทก์ ให้ขายที่ดินแก่ตนได้ ที่สัญญายอมกำหนดว่า หากจำเลยผิดนัด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้นั้น เป็นสิทธิของโจทก์ฝ่ายเดียวที่จะเลือกในทางร้องขอให้บังคับจำเลยชำระราคาและรับซื้อที่ดินต่อไปอีกก็ได้เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์เอกสารตามคำท้าคดี: ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนชี้ขาดตามคำท้า
โจทก์จำเลยท้ากันว่า ถ้าในพินัยกรรมที่ ด. ทำไว้มีข้อความว่า ด. ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยหมดทั้งแปลง โจทก์ยอมแพ้ แต่ถ้าไม่มีข้อความดังกล่าว จำเลยยอมแพ้ จำเลยได้ส่งเอกสารต่อศาล 1 ฉบับ โจทก์ตรวจดูแล้วแถลงว่าไม่ใช่พินัยกรรมที่คู่ความตกลงท้ากัน พินัยกรรมตามที่ท้ากันมีอีกต่างหาก จำเลยแถลงยืนยันว่าเป็นเอกสารตามที่ตกลงท้า ดังนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอกสารที่จำเลยส่งเอกสารจึงยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ ศาลต้องไต่สวนให้ได้ความจริงว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่คู่ความตกลงท้ากันหรือไม่เสียก่อน แล้วจึงจะชี้ขาดคดีไปตามคำท้าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือไม่ครบถ้วนตามข้อตกลง ศาลไม่ถือว่าจำเลยแพ้คดี
ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งเอกสารรวม 5 ฉบับไปพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ถ้าผลการพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ แม้แต่ลายพิมพ์หนึ่งลายพิมพ์ใด โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าผลปรากฏว่า ไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แล้ว จำเลยยอมแพ้คดี ครั้นกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่า เอกสาร 4 ฉบับ ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ส่วนอีกฉบับหนึ่งเลอะเลือนไม่อาจตรวจลงความเห็นได้ ดังนี้ ย่อมไม่ครบถ้วนตรงตามคำท้าของฝ่ายจำเลยที่ว่าจะถือว่าจำเลยแพ้คดีก็ต่อเมื่อไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดเท่านั้น แม้เอกสารฉบับที่ 5 ที่พิสูจน์ไม่ได้จะเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับที่ 1 ก็ตาม ก็จะพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีไม่ได้เพราะไม่ตรงตามคำท้าที่โจทก์จำเลยตกลงกัน กรณีเช่นนี้คำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป และศาลต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือไม่สมบูรณ์ ศาลต้องพิจารณาตามรูปคดี
ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งเอกสารรวม 5 ฉบับไปพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ถ้าผลการพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แม้แต่ลายพิมพ์หนึ่งลายพิมพ์ใด โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าผลปรากฏว่าไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แล้ว จำเลยยอมแพ้คดี ครั้นกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้ว ลงความเห็นว่า เอกสาร 4 ฉบับ ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ส่วนอีกฉบับหนึ่งเลอะเลือน ไม่อาจตรวจลงความเห็นได้ ดังนี้ ย่อมไม่ครบถ้วนตรงตามคำท้าของฝ่ายจำเลยที่ว่า จะถือว่าจำเลยแพ้คดีก็ต่อเมื่อไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดเท่านั้น แม้เอกสารฉบับที่ 5 ที่พิสูจน์ไม่ได้จะเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับที่ 1 ก็ตาม ก็จะพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีไม่ได้ เพราะไม่ตรงตามคำท้าที่โจทก์จำเลยตกลงกัน กรณีเช่นนี้คำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป และศาลต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี
of 103