คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำพิพากษาตามยอม: การปฏิบัติตามหน้าที่ตามสัญญาประนีประนอมความสำคัญกว่าการรอไต่สวนฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อศาลพิพากษาตามยอมให้โจทก์และจำเลยต่างปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จำเลยย่อมชอบที่จะร้องขอให้ดำเนินการบังคับไปตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับอีกฝ่ายให้ปฏิบัติ ในเมื่อคดีนี้ยังไม่มีการบังคับคดี จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดี เพื่อที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นหาได้ไม่ และคดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อชำระหนี้ต้องจดทะเบียน มิฉะนั้นไม่สมบูรณ์
เมื่อศาลพิพากษาตามยอมให้โจทก์และจำเลยต่างปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จำเลยย่อมชอบที่จะร้องขอให้ดำเนินการบังคับไปตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับอีกฝ่ายให้ปฏิบัติ ในเมื่อคดีนี้ยังไม่มีการบังคับคดี จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีเพื่อที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นหาได้ไม่ และคดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผิดนัดชำระหนี้ ศาลสั่งโอนที่ดินได้ตามสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความว่า จำเลยจะผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นงวด ๆ ละ 3 เดือน โดยให้จำเลยชำระงวดที่สองนับแต่วันที่ชำระงวดแรก ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระเงินงวดแรกในวันที่ 20 สิงหาคม 2512 จำเลยจึงต้องชำระเงินงวดที่สองให้โจทก์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 และชำระเงินงวดที่สามในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2513 เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินตามเวลาดังกล่าว ก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความมีความต่อไปว่า ถ้าจำเลยผิดนัดชำระเงินตั้งแต่งวดที่สอง สองงวดติดกัน ให้โจทก์ริบเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของโจกท์ได้ทันที และจำเลยต้องไปโอนใน 3 วัน ถ้าไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เช่นนี้ เห็นได้ว่า กำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องโอนที่ดินดังกล่าวได้ล่วงพ้นมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2513 จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อนี้อีกด้วย เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ หาใช่จะต้องมาเริ่มนับเวลาชำระหนี้กันใหม่ตั้งแต่วันถัดจากวันที่จำเลยฟังคำสั่งของศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับไม่ เพราะการให้ทุเลาการบังคับ เป็นเรื่องรอการบังคับไว้จนกว่าศาลจะพิพากษา เป็นคนละเรื่องกันกับกำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาและมีคำบังคับตามยอมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การกำหนดวันครบกำหนดชำระหนี้และผลของการผิดนัด
สัญญาประนีประนอมยอมความทำกันในศาลเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2516 ความว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ภายใน 15 เดือนนับแต่วันทำสัญญา โดยให้นับ 30 วันเป็นหนึ่งเดือน ถ้าผิดนัด จำเลยยอมให้ทรัพย์จำนองหลุดและถือว่าหมดหนี้ต่อกัน ดังนี้ เมื่อจำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ในวันที่ 21 ตุลาคม 2517 จึงถือว่าจำเลยผิดนัดจำเลยต้องยอมให้ทรัพย์จำนองหลุดเป็นสิทธิแก่โจกท์ และถือว่าหมดหนี้ต่อกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ข้อตกลงให้นับ 30 วันเป็นหนึ่งเดือนย่อมบังคับกันได้ ไม่ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ก็บัญญัติให้นับระยะเวลาตามวิธีการที่กำหนดไว้ในนิติกรรมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ การกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ และผลของการผิดนัด
สัญญาประนีประนอมยอมความทำกันในศาลเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2516 ความว่า จำเลยยอมชำระหนี้ให้โจทก์ภายใน 15 เดือนนับแต่วันทำสัญญา โดยให้นับ 30 วันเป็นหนึ่งเดือน ถ้าผิดนัด จำเลยยอมให้ทรัพย์จำนองหลุดและถือว่าหมดหนี้ต่อกัน ดังนี้ เมื่อจำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ในวันที่ 21 ตุลาคม 2517 จึงถือว่าจำเลยผิดนัด จำเลยต้องยอมให้ทรัพย์จำนองหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์และถือว่าหมดหนี้ต่อกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ข้อตกลงให้นับ 30 วันเป็นหนึ่งเดือนย่อมบังคับกันได้ไม่ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ก็บัญญัติให้นับระยะเวลาตามวิธีการที่กำหนดไว้ในนิติกรรมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำท้า: ศาลมีอำนาจพิจารณาความแท้จริงของเอกสารตามคำท้าได้ หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่โจทก์กำหนด
คู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยว่าเอกสารที่จำเลยจะนำส่งศาลเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ หากศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ จำเลยส่งเอกสารต่อศาลโจทก์คัดค้านว่าเป็นเอกสารปลอม ศาลพิจารณาเอกสารเหล่านั้นเองได้ว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำท้าโดยไม่จำต้องไต่สวนพยานอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมแพ้คดีตามคำท้า หากศาลพิจารณาเอกสารหลักฐานที่จำเลยส่งมอบเป็นเอกสารที่แท้จริง
คู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยว่า เอกสารที่จำเลยจะนำส่งศาลเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โจทก์ยอมแพ้คดี ต่อมาเมื่อจำเลยส่งเอกสารต่อศาล แม้โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าเป็นเอกสารปลอม แต่เมื่อศาลเห็นว่าจากเอกสารนั้นเองพอจะพิจารณาว่าเอกสารปลอมหรือไม่แล้ว ศาลย่อมพิพากษาคดีตามคำท้ายนั้นได้ โดยไม่จำต้องไต่สวนเสียก่อนว่าเอกสารนั้นปลอมหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้าทายสิทธิเรียกร้องและการยอมรับผลตามคำสาบานของพยาน
คู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะว่า หากโจทก์นำ ส. ภรรยาโจทก์มาสาบานต่อหน้าศาลได้ว่ายังไม่ได้รับเงิน 9,000 บาท ตามที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ จำเลยยอมแพ้คดี ถ้า ส. ไม่กล้าสาบาน โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี ปรากฏว่า ส. ได้สาบานต่อหน้าศาลว่าไม่ได้รับเงินตามจำนวนที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ดังนี้ตามคำสาบานของส. แม้จะไม่ได้ระบุจำนวนเงิน 9,000 บาท ก็ถือได้ว่าตรงตามคำท้าแล้ว เพราะตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าจำเลยไม่ชำระเงิน 9,000 บาท จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า และต้องชดใช้ต้นเงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยด้วยตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการแพ้ชนะคดีและการชำระหนี้: คำสาบานยืนยันข้อตกลง, ดอกเบี้ยคิดจากวันกู้
คู่ความตกลงท้ายกันเป็นข้อแพ้ชนะว่า หากโจทก์นำ ส.ภรรยาโจทก์มาต่อหน้าศาลได้ว่ายังไม่ได้รับเงิน 9,000 บาท ตามที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ จำเลยยอมแพ้คดี ถ้า ส.ไม่กล้าสาบาน โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี ปรากฏว่า ส.ได้สาบานต่อหน้าศาลว่าไม่ได้รับเงินตามจำนวนที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ดังนี้ตามคำสาบานของ ส. แม้จะไม่ได้ระบุจำนวนเงิน 9,000 บาท ก็ถือได้ว่าตรงตามคำท้าแล้ว เพราะตามคำฟ้องขอโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่า จำเลยไม่ชำระเงิน 9,000 บาท จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า และต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยด้วยตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาซื้อขายที่ดินบางส่วนสำคัญกว่าถ้อยคำในสัญญาประนีประนอม การตีความต้องตรงตามเจตนาของคู่กรณี
โจทก์ฟ้องให้จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์บางส่วนในราคา 52,000 บาท แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์ในราคา 52,000 บาท ดังนี้ เมื่อคำบรรยายฟ้องและเอกสารการขอจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวก็ระบุว่าจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินเพียงบางส่วน ราคาที่ดินตามฟ้องก็เป็นราคาเดียวกับในสัญญาประนีประนอมยอมความ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาอันแท้จริงที่จะตกลงซื้อขายที่ดินกันตามจำนวนเนื้อที่และเขตติดต่อที่ระบุในฟ้อง หาใช่ซื้อขายทั้งแปลงไม่ โจทก์จึงไม่อาจหยิบยกถ้อยคำในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้มีความหมายว่าเป็นการซื้อขายทั้งแปลงตามตัวอักษร เพราะเป็นการตีความสัญญาซึ่งไม่ตรงตามประสงค์ของคู่กรณีและเป็นไปในทางไม่สุจริตอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368
of 103