คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตแดนติดกัน รุกล้ำที่ดิน ฟ้องแย้งเรื่องกันสาด ศาลให้แก้ไขก่อน หากไม่ได้ผลจึงรื้อได้
โจทก์ฟ้องว่า หลักเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้เคลื่อนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และจำเลยกั้นรั้วครอบครองตามหลักเขตนั้นไม่ยอมย้ายหลักเขตไปไว้ที่เดิม ทำให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ไม่ได้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ล้อมรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่โจทก์รุกล้ำขัดขวางไม่ให้จำเลยล้อมรั้วตามเขตที่ดินของจำเลย และโจทก์ได้ปลูกตึกแถวมีกันสาดเข้ามาใกล้ชิดกับที่ดินและรั้วบ้านจำเลยทำให้จำเลยเดือดร้อนเสียหายเพราะน้ำและสิ่งต่างๆ ตกลงมาถูกบ้านและรั้วของจำเลย ขอให้โจทก์รื้อกันสาดด้วย เรื่องน้ำฝนตกถูกกันสาดและกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่ดินแปลงที่โจทก์และจำเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรื่องกันสาดจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ในชั้นพิจารณา คู่ความตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่เพียงใด ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามผลการรังวัด โจทก์จำเลยขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่นๆ ทั้งสิ้น และศาลบันทึกไว้ด้วยว่าโจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใดๆ มิให้น้ำจากกันสาดตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินหรืออาคารของจำเลยภายใน 1 เดือน ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์กลับเป็นฝ่ายรุกล้ำที่ดินของจำเลยส่วนเรื่องน้ำตกจากกันสาดนั้น โจทก์แถลงว่าได้จัดการแก้ไขแล้ว แต่น้ำฝนยังตกกระเด็นจากกันสาดลงมายังที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยอยู่อีก คำว่าประเด็นอื่น ๆ ที่คู่ความสละเสียนั้น หมายถึงประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ ส่วนประเด็นเรื่องกันสาดตามที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานมีข้อความดังกล่าวนั้น เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าที่โจทก์สร้างกันสาดนั้นเป็นเหตุให้น้ำฝนกระเด็นมาถูกรั้วและบ้านจำเลยเสียหายตามฟ้องแย้งเรื่องกันสาดจึงมิใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน และอยู่นอกเหนือจากประเด็นที่คู่ความตกลงสละประเด็นเรื่องกันสาดจึงมิได้ระงับไป ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยชอบ แต่กันสาดนี้อยู่ภายในแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์ มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลย และตามพยานหลักฐานในสำนวนกรณียังมีทางแก้ไขมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่พื้นดินบ้านเรือนและรั้วบ้านของจำเลยได้ ศาลพึงพิพากษาให้โจทก์จัดการแก้ไขก่อนหากโจทก์ไม่แก้ไขหรือแก้ไขแล้วไม่เป็นผลจึงจะให้รื้อกันสาดเสีย ไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์รื้อไปทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตแดนติดกัน รุกล้ำที่ดิน และความเสียหายจากกันสาด ศาลให้แก้ไขหรือรื้อถอน
โจทก์ฟ้องว่าหลักเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้เคลื่อนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และจำเลยกั้นรั้วครอบครองตามหลักเขตนั้นไม่ยอมย้ายหลักเขตไปไว้ที่เดิม ทำให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ไม่ได้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยมิได้ล้อมรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์รุกล้ำขัดขวางไม่ให้จำเลยล้อมรั้วตามเขตที่ดินของจำเลย และโจทก์ได้ปลูกตึกแถวมีกันสาดเข้ามาใกล้ชิดกับที่ดินและรั้วบ้านจำเลย ทำให้จำเลยเดือดร้อนเสียหายเพราะน้ำและสิ่งต่าง ๆ ตกลงมาถูกบ้านและรั้วของจำเลยขอให้โจทก์รื้อกันสาดด้วย เรื่องน้ำฝนตกถูกกันสาดและกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้าน เรือนของจำเลยนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่ดินแปลงที่โจทก์และจำเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรื่องกันสาดจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ในชั้นพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่เพียงใด ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามผลการรังวัดโจทก์จำเลยขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่น ๆ ทั้งสิ้น และศาลบันทึกไว้ด้วยว่าโจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใด ๆ มิให้น้ำจากกันสาดตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินหรืออาคารของจำเลยภายใน 1 เดือน ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่โจทก์กลับเป็นฝ่ายรุกล้ำที่ดินของจำเลย ส่วนเรื่องน้ำตกจากกันสาดนั้นโจทก์แถลงว่าได้จัดการแก้ไขแล้วแต่น้ำฝนยังตกกระเด็นจากกันสาดลงมายังที่ดิน และบ้านเรือนของจำเลยอยู่อีก คำว่าประเด็นอื่น ๆ ที่คู่ความสละเสียนั้นหมายถึงประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ส่วนประเด็นเรื่องกันสาดตามที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานมีข้อความดังกล่าวนั้นเท่ากับโจทก์ยอมรับว่าโจทก์สร้างกันสาดนั้นเป็นเหตุให้น้ำฝนกระเด็นมาถูกรั้วและบ้านจำเลยเสียหายตามฟ้องแย้ง เรื่องกันสาดจึงมิใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันและอยู่นอกเหนือจากประเด็นที่คู่ความตกลงสละ ประเด็นเรื่องกันสาดจึงมิได้ระงับไปศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยชอบแต่กันสาดนี้อยู่ภายในแดนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลยและตามพยานหลักฐานในสำนวนกรณียังมีทางแก้ไขมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่พื้นดินบ้านเรือนและรั้วบ้านของจำเลยได้ ศาลพึงพิพากษาให้โจทก์จัดการแก้ไขก่อน หากโจทก์ไม่แก้ไขหรือแก้ไขแล้วไม่เป็นผลจึงจะให้รื้อกันสาดเสีย ไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์รื้อไปทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2694/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และข้อตกลงรอฟังคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีที่ผู้ว่าคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญา โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เพราะถือว่าผู้ว่าคดีฟ้องคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหายนั้นเอง(อ้างฎีกาที่ 1134-1135/2509)
โจทก์จำเลยตกลงกันในคดีนี้ว่าขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีอาญาเสียก่อนถ้า ผลที่สุดของคดีอาญาเป็นอย่างไร โจทก์จำเลยจะถือตาม ดังนี้ เมื่อศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาทโจทก์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ขอให้สืบพยานในข้อนี้ขึ้นอีกหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2694/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และผลของการตกลงรอฟังคำพิพากษา
โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีที่ผู้ว่าคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญา โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เพราะถือว่าผู้ว่าคดีฟ้องคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหายนั้นเอง (อ้างฎีกาที่ 1134-1135/2509)
โจทก์จำเลยตกลงกันในคดีนี้ว่าขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีอาญาเสียก่อนถ้าผลที่สุดของคดีอาญาเป็นอย่างไร โจทก์จำเลยจะถือตาม ดังนี้ เมื่อศาลใน คดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาท โจทก์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ขอให้สืบพยานในข้อนี้ขึ้นอีกหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการฟ้องเพิกถอนสัญญาจากข้อสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้ คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย โจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การเพิกถอนสัญญาเนื่องจากสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การขายทรัพย์สินและการชำระหนี้เป็นงวด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยยังมิได้ผิดสัญญา
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ข้อ 2 มีข้อความดังนี้ "หากจำเลยตกลงขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยได้ก่อนในรอบระยะชำระหนี้ 6 เดือนแรกหรือในระยะ 6 เดือนต่อๆ ไปก็ตาม จำเลยจะต้องแจ้งให้ศาลและโจทก์ทราบด้วย และให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก่อน ภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดในข้อ 1 หากจำเลยไม่แจ้งศาลหรือไม่แจ้งโจทก์หรือไม่ชำระเงินแก่โจทก์เมื่อขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยแล้วให้ถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีทั้งหมดทันที ที่จะถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทั้งหมดนั้น มีดังนี้คือเมื่อขายทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยแล้วไม่แจ้งศาล หรือไม่แจ้งโจทก์หรือไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ ข้อความในสัญญาใช้คำว่า หรือ ดังนั้นจำเลยจะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ไม่เป็นการผิดสัญญาตามสัญญาข้อนี้มิได้บังคับให้จำเลยนำเงินทั้งหมดที่ขายทรัพย์สินได้มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหมด แต่ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดเท่านั้น งวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยจึงไม่ต้องชำระให้แก่โจทก์ แม้จะขายทรัพย์สินได้เป็นเงินจำนวนเกินกว่าหนี้ทั้งหมดของโจทก์ก็ตาม และตามสัญญามิได้มีข้อตกลงให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่จะต้องชำระกันเป็นงวดๆ เมื่อขายทรัพย์สินได้ดังนั้นแม้จำเลยจะขายทรัพย์สินไปแล้ว ก็ต้องรวบรวมเงินให้ได้จำนวนพอแก่การชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวดๆ ตามสัญญาตามคำร้องของโจทก์ จำเลยขายแร่ไปเพียง 97 หาบ ไม่ปรากฏว่าราคาเท่าใดพอจะชำระหนี้งวดแรกให้แก่โจทก์หรือไม่ ก็ไม่ทราบวันที่จำเลยขายแร่ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเงินงวดแรก ดังนั้น จำเลยจึงยังมิได้กระทำผิดสัญญาที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทั้งหมดได้ในทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การขายทรัพย์สินและการชำระหนี้เป็นงวด ศาลฎีกาชี้ว่าจำเลยยังไม่ผิดสัญญา
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ข้อ 2 มีข้อความดังนี้ "หากจำเลยตกลงขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยได้ก่อนในรอบระยะชำระหนี้ 6 เดือนแรกหรือในระยะ 6 เดือนต่อๆ ไปก็ตาม จำเลยจะต้องแจ้งให้ศาลและโจทก์ทราบด้วย และให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก่อน ภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดในข้อ 1 หากจำเลยไม่แจ้งศาลหรือไม่แจ้งโจทก์ หรือไม่ชำระเงินแก่โจทก์เมื่อขายหรือโอนทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยแล้ว ให้ถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีทั้งหมดทันที ที่จะถือว่าจำเลยผิดนัดและยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทั้งหมดนั้น มีดังนี้คือเมื่อขายทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยแล้วไม่แจ้งศาล หรือไม่แจ้งโจทก์หรือไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ ข้อความในสัญญาใช้คำว่า หรือ ดังนั้น จำเลยจะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ไม่เป็นการผิดสัญญา ตามสัญญาข้อนี้มิได้บังคับให้จำเลยนำเงินทั้งหมดที่ขายทรัพย์สินได้มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหมด แต่ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนภายในวงเงินที่จะต้องชำระตามงวดเท่านั้น งวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยจึงไม่ต้องชำระให้แก่โจทก์ แม้จะขายทรัพย์สินได้เป็นเงินจำนวนเกินกว่าหนี้ทั้งหมดของโจทก์ก็ตาม และตามสัญญามิได้มีข้อตกลงให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่จะต้องชำระกันเป็นงวดๆ เมื่อขายทรัพย์สินได้ ดังนั้นแม้จำเลยจะขายทรัพย์สินไปแล้ว ก็ต้องรวบรวมเงินให้ได้จำนวนพอแก่การชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวดๆ ตามสัญญาตามคำร้องของโจทก์ จำเลยขายแร่ไปเพียง 97 หาบ ไม่ปรากฏว่าราคาเท่าใดพอจะชำระหนี้งวดแรกให้แก่โจทก์หรือไม่ ก็ไม่ทราบวันที่จำเลยขายแร่ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเงินงวดแรก ดังนั้น จำเลยจึงยังมิได้กระทำผิดสัญญาที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทั้งหมดได้ในทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1873/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นทายาท: บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรอง vs. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย, สิทธิในมรดก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรที่ ค.บิดารับรองแล้วโดย ค. ให้ใช้นามสกุล ให้ที่พักอาศัยและอยู่ร่วมเรือนเดียวกันให้อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา ค.ถึงแก่กรรม นาพิพาทจึงตกทอดเป็นของโจทก์ในฐานะเป็นทายาทจำเลยให้การว่านาเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสี่ไม่เป็นทายาทอันชอบด้วยกฎหมายของ ค. ในวันชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้ากันในประเด็นข้อเดียวว่าถ้าหากศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. โจทก์ยอมแพ้คดี ดังนี้ เมื่อโจทก์นำสืบได้ความแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่ ค. บิดาได้รับรองแล้วเท่านั้น โจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า เพราะกรณีของโจทก์ หากจะให้เกิดผลให้โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. จะต้องฟ้องคดีให้รับโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 และจะต้องมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรของ ค. ตามมาตรา 1530(3) เสียก่อน ส่วนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1524 นั้น เป็นเรื่องราววิธีพิสูจน์การเป็นบุตรที่เกิดในระหว่างที่มีการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ที่บัญญัติว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หากแต่ให้มีสิทธิเกี่ยวกับมรดกของชายผู้ให้กำเนิดเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1873/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นทายาท: บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรอง vs. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรที่ ค.บิดารับรองแล้ว โดย ค.ให้ใช้นามสกุล ให้ที่พักอาศัยและอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ให้อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา ค.ถึงแก่กรรม นาพิพาทจึงตกทอดเป็นของโจทก์ในฐานะเป็นทายาท จำเลยให้การว่านาเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสี่ไม่เป็นทายาทอันชอบด้วยกฎหมายของ ค. ในวันชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้ากันในประเด็นข้อเดียวว่า ถ้าหากศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. โจทก์ยอมแพ้คดี ดังนี้ เมื่อโจทก์นำสืบได้ความแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่ ค. บิดาได้รับรองแล้วเท่านั้น โจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า เพราะกรณีของโจทก์ หากจะให้เกิดผลให้โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. จะต้องฟ้องคดีให้รับโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 และจะต้องมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรของ ค.ตามมาตรา 1530(3) เสียก่อน ส่วนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1524 นั้น. เป็นเรื่องราววิธีพิสูจน์การเป็นบุตรที่เกิดในระหว่างที่มีการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ที่บัญญัติว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หากแต่ให้มีสิทธิเกี่ยวกับมรดกของชายผู้ให้กำเนิดเท่านั้น
of 103