คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่การขายฝากตามสัญญาประนีประนอม: ไม่โอนกรรมสิทธิ์ แต่ให้สิทธิไถ่แทนจำเลย เพื่อชำระหนี้
ที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีใจความว่าจำเลยยอมใช้เงิน 70,000 บาท. แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระเงิน. จำเลยยอมให้โจทก์เข้าสวมสิทธิไถ่การขายฝากที่ดิน. เมื่อจำเลยไม่ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนดนั้น มิได้มีความหมายว่าเป็นการโอนสิทธิการไถ่การขายฝากให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 497(2) ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่มีความหมายแต่เพียงว่าโจทก์มีสิทธิไถ่ที่ดินที่ขายฝากคืนมาในนามของจำเลย. จำเลยคงมีสิทธิอยู่ตามเดิม. ส่วนโจทก์มีเพียงสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้. เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน 70,000 บาทตามสัญญาเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่การขายฝากในสัญญาประนีประนอม: ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของโจทก์
ที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีใจความว่าจำเลยยอมใช้เงิน 70,000 บาท แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระเงินจำเลยยอมให้โจทก์เข้าสวมสิทธิไถ่การขายฝากที่ดิน เมื่อจำเลยไม่ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนดนั้น มิได้มีความหมายว่าเป็นการโอนสิทธิการไถ่การขายฝากให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 497(2) ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่มีความหมายแต่เพียงว่าโจทก์มีสิทธิไถ่ที่ดินที่ขายฝากคืนมาในนามของจำเลย จำเลยคงมีสิทธิอยู่ตามเดิม ส่วนโจทก์มีเพียงสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน 70,000 บาทตามสัญญาเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความกับการบังคับคดีเช่า: เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า ผู้เช่าต้องออกจากห้องเช่า
การที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า แล้วโจทก์จำเลย ตกลงประนีประนอมกันให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งแม้จะไม่มีข้อความว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยยอมออกจากห้องเช่าที่ฟ้องขับไล่นั้นก็ตามแต่ก็ย่อมเห็นความประสงค์ของคู่กรณีว่า เป็นการยอมให้อยู่ต่อไปได้ชั่วระยะเวลาที่ระบุไว้เท่านั้น หมายความว่าเมื่อครบกำหนดนั้นแล้ว ผู้เช่าต้องออกจากห้องเช่าไป
คำสั่งศาลในการบังคับคดี หากปรากฏว่าไม่ถูกต้อง ย่อมแก้ไขใหม่ได้จึงไม่เป็นการต้องห้ามที่โจทก์จะมีคำร้องขึ้นใหม่ โดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความเช่าบ้าน: สิทธิผู้เช่าหลังครบกำหนดสัญญา และการบังคับคดีซ้ำ
การที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า แล้วโจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมกันให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แม้จะไม่มีข้อความว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยยอมออกจากห้องเช่าที่ฟ้องขับไล่นั้นก็ตามแต่ก็ย่อมเห็นความประสงค์ของคู่กรณีว่าเป็นการยอมให้อยู่ต่อไปได้ชั่วระยะเวลาที่ระบุไว้เท่านั้น หมายความว่าเมื่อครบกำหนดนั้นแล้ว ผู้เช่าต้องออกจากห้องเช่าไป
คำสั่งศาลในการบังคับคดี หากปรากฏไม่ถูกต้อง ย่อมแก้ไขใหม่ได้จึงไม่เป็นการต้องห้ามทีโจทก์จะมีคำร้องขึ้นใหม่ โดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงสืบพยานร่วมแล้วขอถอนคำท้า: ศาลไม่อนุญาตได้
ปัญหาว่า คู่ความตกลงท้ากันสืบพยานคนกลางไว้แล้ว ฝ่ายหนึ่งขอถอนคำท้าขอดำเนินกระบวนพิจารณาไปได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คู่ความตกลงสืบพยานร่วมคนเดียว หากพยานร่วมให้การเจือสมฝ่ายใด ก็ให้ศาลวินิจฉัยไปตามรูปคดี โดยคู่ความสละสิทธิไม่สืบพยานอื่นต่อไป ต่อมาโจทก์ขอถอนคำท้าอ้างว่า โจทก์ไม่มั่นใจว่าพยานร่วมจะให้การตรงไปตรงมา ศาลไม่อนุญาต และสืบพยานร่วมไปแล้ว พิพากษาให้จำเลยชนะคดี โจทก์ขอให้ศาลพิจารณาใหม่ศาลไม่เห็นสมควรให้พิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงสืบพยานร่วมแล้วขอถอนคำท้า: ศาลไม่อนุญาตชอบแล้ว
ปัญหาว่า คู่ความตกลงท้ากันสืบพยานคนกลางไว้แล้ว ฝ่ายหนึ่งขอถอนคำท้าขอดำเนินกระบวนพิจารณาไปได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คู่ความตกลงสืบพยานร่วมคนเดียว หากพยานร่วมให้การเจือสนฝ่ายใด ก็ให้ศาลวินิจฉัยไปตามรูปคดี โดยคู่ความสละสิทธิไม่สืบพยานอื่นต่อไป ต่อมาโจทก์ขอถอนคำท้าอ้างว่าโจทก์ไม่มั่นใจว่าพยานร่วมจะให้การตรงไปตรงมา ศาลไม่อนุญาต และสืบพยานร่วมไปแล้ว พิพากษาให้จำเลยชนะคดี โจทก์ขอให้ศาลพิจารณาใหม่ ศาลไม่เห็นสมควรให้พิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันคู่สัญญา และพินัยกรรมไม่สามารถลบล้างได้
เมื่อมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ศาลพิพากษาตามยอมและบังคับตามยอมแล้ว ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีย่อมเป็นอันถึงที่สุด จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงประการใดหาได้ไม่ คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันโจทก์จำเลยในอันที่จะปฏิบัติการให้เป็นไปตามยอมทุกประการ การที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติจะอ้างว่าทำสัญญาโดยเข้าใจผิดหาได้ไม่
พินัยกรรมของจำเลยหามีผลลบล้างสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยได้ทำไว้กับโจทก์ก่อนถึงแก่กรรมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันตามกฎหมาย พินัยกรรมไม่ลบล้างได้
เมื่อมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลศาลพิพากษาตามยอมและบังคับตามยอมแล้ว ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์คดีย่อมเป็นอันถึงที่สุด จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงประการใดหาได้ไม่คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันโจทก์จำเลยในอันที่จะปฏิบัติการให้เป็นไปตามยอมทุกประการ การที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติจะอ้างว่าทำสัญญาโดยเข้าใจผิดหาได้ไม่
พินัยกรรมของจำเลยหามีผลลบล้างสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยได้ทำไว้กับโจทก์ก่อนถึงแก่กรรมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056-1065/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การตีความเจตนาต้องพิจารณาเจตนาแท้จริง แม้ไม่มีข้อตกลงชัดเจน
การตีความแสดงเจตนาต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้แต่ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่อไป อีกโดยกำหนดเวลาเช่าหนึ่งปีหกเดือน เริ่มนับเวลาเช่าตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนี้ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ผ่อนผันให้จำเลยได้มีโอกาสอยู่ต่อไปอีกเพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้นแม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมิได้เขียนไว้โดยแจ้งชัดว่าพ้นกำหนด 1 ปี 6 เดือนแล้วจะต้องออกจากที่ดิน ก็ต้องแปลเจตนาของคู่กรณีไปเช่นนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056-1065/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความต้องพิจารณาเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี แม้ข้อตกลงจะไม่ได้ระบุชัดเจน
การตีความแสดงเจตนาต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร
โจทย์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้แต่ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่อไปอีกโดยกำหนดเวลาเช่าหนึ่งปีหกเดือน เริ่มนับเวลาเช่าตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนี้ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ผ่อนผันให้จำเลยได้มีโอกาสอยู่ต่อไปอีกเพียง 1 ปี 6 เดิอนเท่านั้น แม้สัญญาประนีประนอมจะมิได้เขียนไว้โดยแจ้งชัดว่าพ้นกำหนด 1 ปี 6 เดือนแล้วจะต้องออกจากที่ดิน ก็ต้องแปลเจตนาของคู่กรณีไปเช่นนั้น
of 103