คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประนีประนอมยอมความระงับผลคำพิพากษาเดิม: สิทธิในทรัพย์สินยังคงอยู่ตามนิติกรรมเดิม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและเรือนพิพาท จำเลยฎีกา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยไม่ขอถือเอาผลของคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองมาใช้บังคับต่อไป และศาลฎีกาได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาของศาลล่างย่อมระงับไปโดยผลของคำพิพากษาศาลฎีกา นิติกรรมการซื้อขายจึงมิได้ถูกเพิกถอนแต่อย่างใด ในเบื้องต้นจึงต้องฟังว่า เรือนพิพาทยังเป็นของผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย เมื่อผู้ซื้อถึงแก่กรรมทายาทของผู้ซื้อจึงมีสิทธิในเรือนนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความต่อคำพิพากษาศาลล่าง: นิติกรรมไม่ถูกเพิกถอน ทายาทได้สิทธิ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและเรือนพิพาทจำเลยฎีกา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกาคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยไม่ขอถือเอาผลของคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองมาใช้บังคับต่อไปและศาลฎีกาได้พิพากษาไปตามยอมแล้วดังนี้ คำพิพากษาของศาลล่างย่อมระงับไปโดยผลของคำพิพากษาศาลฎีกานิติกรรมการซื้อขายจึงมิได้ถูกเพิกถอนแต่อย่างใด ในเบื้องต้นจึงยังต้องฟังว่าเรือนพิพาทยังเป็นของผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเมื่อผู้ซื้อถึงแก่กรรมทายาทของผู้ซื้อจึงมีสิทธิในเรือนนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญายอมความระงับข้อพิพาทแล้วย่อมเป็นยุติ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเจตนาในคดีหลัง ศาลไม่อาจบังคับให้ชดใช้เงินตามข้อเสนอ
ในคดีก่อน โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของรวมกันในที่ดินแปลงพิพาทและจำเลยยอมรับว่า ได้อาศัยอยู่ในที่ดินนี้ตอนเหนือจนกว่าโจทก์จำเลยจะได้ทำการแบ่งที่ดินกันศาลพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินรายนี้ในคดีหลัง จำเลยจะอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทตอนเหนือโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้วและจะขอนำพยานสืบประกอบในข้อนี้หาได้ไม่เพราะข้อพิพาทอันนี้ได้ระงับไปโดยสัญญายอมในคดีก่อนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่าถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งโดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาทจำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่าเพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 30,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วยข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา30,000 บาทนั่นเองเมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่าจำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริงก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลยอนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่าเพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไรโดยทดแทนเงินกันเพียงใดจึงจะสมควรตามนัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญายอมความระงับข้อพิพาทแล้ว ไม่อาจนำข้อพิพาทเดิมมาโต้แย้งได้อีก และศาลไม่บังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายหากไม่มีการขอไว้
ในคดีก่อน โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินแปลงพิพาท และจำเลยยอมรับว่า ได้อาศัยอยู่ในที่ดินนี้ตอนเหนือจนกว่า โจทก์จำเลยจะได้ทำการแบ่งที่ดินกัน ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินรายนี้ในคดีหลัง จำเลยจะอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทตอนเหนือโดยปรปักษ์จะได้กรรมสิทธิ์แล้ว และจะขอนำพยานสืบประกอบในข้อนี้หาได้ไม่เพราะข้อพิพาทอันนี้ได้ระงับไปโดยสัญญายอมในคดีก่อนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่า ถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง โดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่า เพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วย ข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา 30,000 บาท นั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่า จำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริง ก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลย อนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่า เพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไร โดยทดแทนเงินกันเพียงใด จึงจะสมควรตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการบังคับตามสัญญาประนีประนอม ศาลมีอำนาจวินิจฉัยแม้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้
แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่เดิม ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในคดีก่อนจนศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนั้นไปแล้ว โจทก์นำคดีเรื่องนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์รายเดียวกันคืนจากจำเลยอีก เป็นฟ้องซ้ำ
(อ้างฎีกาที่ 54/2499)
โจทก์จำเลยและนายสร่างได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมคืนทรัพย์ให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ และศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามนั้นแล้ว เมื่อนายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาเดิมนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ยังคงมีอยู่ไม่ใช่ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการบังคับตามสัญญาประนีประนอม ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้
แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่เดิมศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในคดีก่อนจนศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนั้นไปแล้วโจทก์นำคดีเรื่องนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์รายเดียวกันคืนจากจำเลยอีก เป็นฟ้องซ้ำ (อ้างฎีกาที่ 54/2494)
โจทก์จำเลยและนายสร่างได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมคืนทรัพย์ให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ และศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามนั้นแล้ว เมื่อนายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาเดิมนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ยังคงมีอยู่ไม่ใช่ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีหลังประนีประนอมนอกศาล: สัญญาข่มขู่และผลกระทบต่อการบังคับคดี
เมื่อจำเลยแพ้คดีโจทก์ แล้วยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำบังคับที่ศาลมีไว้ต่อจำเลยในกำหนด ต่อมาจำเลยจะมายื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันนอกศาลแล้ว ขอมิให้มีการบังคับคดีไม่ได้ ในเมื่อการประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นโดยถูกข่มขู่ เพราะคู่ความชอบที่จะมาทำประนีประนอมกันในศาลๆ จะได้รู้เห็น และได้พิจารณาว่าการประนีประนอมนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกจะได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลง และถือว่าเป็นการที่ให้ศาลได้รับรู้เกี่ยวกับการบังคับคดี เมื่อทำกันนอกศาลๆ ก็ไม่รู้ และถ้ายอมรับฟัง การบังคับคดีก็จะไม่อาจเป็นไปได้โดยราบรื่น เพราะฝ่ายที่ถูกบังคับย่อมจะมีข้ออ้างมาร้องต่าง ๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมนอกศาลหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่อาจใช้เป็นเหตุยกเว้นการบังคับคดีได้ หากมีข้อโต้แย้งเรื่องความถูกต้อง
เมื่อจำเลยแพ้คดีโจทก์ แล้วยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำบังคับที่ศาลมีไว้ต่อจำเลยในกำหนด ต่อมาจำเลยจะมายื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันนอกศาลแล้วขอมิให้มีการบังคับคดีไม่ได้ในเมื่อการประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นโดยถูกข่มขู่เพราะคู่ความชอบที่จะมาทำประนีประนอมกันในศาล ศาลจะได้รู้เห็นและได้พิจารณาว่าการประนีประนอมนั้นถูกต้องหรือไม่ถ้าถูกจะได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลง และถือว่าเป็นการที่ให้ศาลได้รับรู้เกี่ยวกับการบังคับคดีเมื่อทำกันนอกศาลศาลก็ไม่รู้ และถ้ายอมรับฟัง การบังคับคดีก็จะไม่อาจเป็นไปได้โดยราบรื่นเพราะฝ่ายที่ถูกบังคับย่อมจะมีข้ออ้างมาร้องต่างๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1579-1580/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของเจ้าของร่วม & ผลการรังวัดที่ดินตามข้อตกลงในศาล
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีชื่อในโฉนดร่วมกับบุตรของโจทก์โจทก์โดยลำพังคนเดียวย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับการที่มีผู้ปลูกโรงเรือนล้ำเข้ามาในเขตโฉนดรายนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของร่วมคนอื่น
โจทก์จำเลยตกลงท้ากันในศาล ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตโฉนดของโจทก์ประการเดียว โดยยืนยันรับรองว่าถ้าโรงเรือนของจำเลยปลูกอยู่ในเขตโฉนดนั้น จำเลยยอมแพ้หากอยู่นอกเขตโฉนดดังกล่าวโจทก์ยอมแพ้ ดังนี้เป็นเรื่องคู่ความยอมรับข้อเท็จจริงกันในศาลโดยมีเงื่อนไขให้ถือเอาการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินตามเขตโฉนดของโจทก์นั้นเป็นข้อแพ้ชนะในระหว่างกัน เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ศาลก็ต้องพิพากษาคดีไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น จำเลยไม่มีสิทธิที่จะโต้แย้งว่าเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1579-1580/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร่วมมีอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินร่วมได้โดยไม่ต้องมีมอบอำนาจ และข้อตกลงให้การรังวัดเป็นข้อตัดสิน
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีชื่อในโฉนดร่วมกับบุตรของโจทก์ โจทก์โดยลำพังคนเดียวย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับการที่มีผู้ปลูกโรงเรือนล้ำเข้ามาในเขตโฉนดรายนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของร่วมคนอื่น
โจทก์จำเลยตกลงท้ากันในศาล ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตโฉนดของโจทก์ประการเดียว โดยยืนยันรับรองว่าถ้าโรงเรือนของจำเลยปลูกอยู่ในเขตโฉนดนั้น จำเลยยอมแพ้ หากอยู่นอกเขตโฉนดดังกล่าวโจทก์ยอมแพ้ ดังนี้เป็นเรื่องคู่ความยอมรับข้อเท็จจริงกันในศาลโดยมีเงื่อนไขให้ถือเอาการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินตามเขตโฉนดของโจทก์นั้นเป็นข้อแพ้ชนะในระหว่างกัน เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ศาลก็ต้องพิพากษาคดีไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎนั้น จำเลยไม่มีสิทธิที่จะโต้แย้งว่าเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดผิด.
of 103