คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ความผูกพันและขอบเขตการเพิกถอน
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล จนศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประ นีประนอมยอมความนั้น ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาจนคดีถึงที่สุดเช่นนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญา ประนีประนอมยอมความนั้นในภายหลัง โดยอ้างว่าทำไปโดยสำคัญผิดไม่ได้./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลเด็ดขาดหลังศาลพิพากษาแล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์แก้ไขมิได้ แม้จะอ้างสำคัญผิด
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล จนศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาจนคดีถึงที่สุดเช่นนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นในภายหลัง โดยอ้างว่าทำไปโดยสำคัญผิดไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับคำพิพากษาเดิม หากผิดสัญญาอีกฝ่ายไม่ต้องผูกพัน
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล เอาที่ดินพิพาทประมูลระหว่างกันเอง ถ้าไม่ตกลงให้เอาขายทอดตลาด ต่อมาโจทก์จำเลยได้แถลงต่อศาลว่า ไม่สามารถจะตกลงกันในวิธีการประมูลได้ทั้งสองฝ่ายจึงขอให้ขายทอดตลาด ศาลได้เรียกคู่ความมาสอบถาม ทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลถือข้อตกลงใหม่แทนการที่จะประมูลหรือบังคับคดี แต่ฝ่ายโจทก์กลับเป็นฝ่ายผิดข้อตกลงตามที่ได้ตกลงกันใหม่นั้น จำเลยจึงไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติการตามข้อตกลงใหม่นั้น แต่ยังคงต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาท้ายยอม คือให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามคำพิพากษาท้ายยอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความและการผิดสัญญาใหม่: ศาลยังคงบังคับตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล เอาที่ดินพิพาทประมูลระหว่างกันเอง ถ้าไม่ตกลงให้เอา ขายทอดตลาด ต่อมาโจทก์จำเลยได้แถลงต่อศาลว่า ไม่สามารถจะตกลงกันในวิธีการประมูลได้ทั้งสองฝ่ายจึงขอให้ ขายทอดตลาด ศาลได้เรียกคู่ความมาสอบถาม ทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลถือข้อตกลงใหม่แทนการที่จะประมูลหรือบังคับ คดี แต่ฝ่ายโจทก์กลับเป็นฝ่ายผิดข้อตกลงตามที่ได้ตกลงกันใหม่นั้น จำเลยจึงไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติการตามข้อตก ลงใหม่นั้น แต่ยังคงต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาท้ายยอม คือให้ขายทอดตลาดเอางเงินมาแบ่งกันตามคำพิพากษาท้าย ยอม./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาสัญญาเช่า การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความ และการใช้สิทธิเช่าเพื่อประกอบการค้า
ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากห้องเช่าแล้วคู่ความทำสัญญายอมความกันว่า ผู้เช่ายอมออกจากห้องเช่านั้นไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวผู้ให้เช่าจะจัดสร้างห้องรายนี้ใหม่โดยผู้เช่ายอมออกเงินค่าก่อสร้างให้1 ห้องและเมื่อชำระเสร็จแล้ว ผู้ให้เช่ายอมให้ผู้เช่าเช่าอยู่ต่อไปอีก 1 ห้อง เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปีนั้นจะให้หมายความเพียงว่าเช่าเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้นหาได้ไม่อาจเป็นการเช่าอยู่เพื่อประกอบการค้าหรือธุรกิจอะไรอย่างใดก็ได้ เมื่อตามข้อสัญญาไม่ได้กล่าวให้ชัดก็จำต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีในเรื่องนี้ต่อไป
เดิมห้องเช่าพิพาทเป็นร้านจำหน่ายน้ำมันที่หน้าร้านมีปั๊มน้ำมันตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงและห้องติดต่อกันเป็นร้านค้าขายแสดงว่าห้องเช่าพิพาทอยู่ในทำเลการค้า ประกอบกับผู้เช่ายอมออกเงินค่าก่อสร้างให้ผู้ให้เช่าเป็นจำนวนมากย่อมบ่งชี้ให้เห็นว่าที่ยอมให้ผู้เช่า เช่าอยู่ต่อไปอีกนั้น เป็นการให้เช่าอยู่เพื่อทำการค้าน้ำมันตามเดิมนั้นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยตามประเด็นที่ตกลงกัน: การพิพากษาต้องเป็นไปตามประเด็นที่คู่ความตกลงกันเท่านั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยจับจองทับที่ของโจทก์ขอให้เพิกถอนการจับจองจำเลยต่อสู้ว่า ที่ที่จับจองเป็นที่ว่างเปล่าในที่สุดได้ตกลงท้ากันให้ศาลไปดูและวินิจฉัยเจาะจงข้อเถียงว่าถ้าที่พิพาทเป็นที่ซึ่งปลูกพืชผลธัญชาติ ก็ให้โจทก์ชนะคดีถ้าที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้ปลูกพืชผลธัญชาติอะไรไปเลยให้จำเลยชนะคดี ดังนี้ เมื่อศาลไปดูแล้วปรากฏว่าที่พิพาทมีสภาพเป็นที่ซึ่งปลูกพืชผลธัญชาติสมจริงแล้วแม้จะมิได้ปลูกเต็มเนื้อที่พิพาท ก็ต้องให้โจทก์ชนะคดีได้ที่พิพาททั้งหมดจะแบ่งให้โจทก์ได้เฉพาะตอนที่ปลูกพืชผล ส่วนตอนที่ไม่ได้ปลูกให้ได้แก่จำเลยนั้นไม่ถูกต้องเพราะมิได้อยู่ในขอบข่ายแห่งประเด็นข้อท้าเป็นการนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยคดีตามประเด็นที่ตกลงกัน: ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่คู่ความตกลงกันเท่านั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยจับจองทับที่ของโจทก์ขอให้เพิกถอนการจับจอง จำเลยต่อสู้ว่า ที่ที่จับจองเป็นที่ว่างเปล่า ในที่สุดได้ตกลงท้ากันให้ศาลไปดูและวินิจฉัยเจาะจงข้อเถียงว่า ถ้าที่พิพาทเป็นที่ซึ่งปลูกพืชและธัญญะชาติ ก็ให้ โจทก์ชนะคดี ถ้าที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้ปลูกพืชผลธัญญะชาติอะไรไปเลย ให้จำเลยชนะคดี ดังนี้ เมื่อ ศาลไปดูแล้วปรากฎว่า ที่พิพาทมีสภาพเป็นที่ซึ่งปลูกพืชผลธัญญะชาติสมจริงแล้ว แม้จะมิได้ปลูกเต็มเนื้อที่พิพาท ก็ต้องให้โจทก์ชนะคดี ได้ที่พิพาททั้งหมด จะแบ่งให้โจทก์ได้เฉพาะตอนที่ปลูกพืชผล ส่วนตอนที่ไม่ได้ปลูกให้ได้แก่ จำเลยนั้นไม่ถูกต้องเพราะมิได้อยู่ในขอบข่ายแห่งประเด็นข้อท้า เป็นการนอกประเด็น./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ในคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่หนองสาธารณะจำเลยต่อสู้ว่าเป็นหนองสาธารณะคู่ความต่างไม่ติดใจสืบพยานโดยตกลงกันว่าให้ศาลฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่สืบมาแล้วในคดีอาญาคดีหนึ่งซึ่งอัยการเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทดังนี้เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีอาญาเรื่องนั้นว่าที่พิพาทจะเป็นหนองสาธารณะหรือไม่ ไม่วินิจฉัยให้คู่ความชอบที่จะโต้แย้งกันในทางแพ่งดังนี้ ข้อที่คู่ความร้องขอให้ฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา จึงเป็นอันไร้ผลชอบที่คู่ความจะต้องนำสืบข้อเท็จจริงกันในคดีแพ่งนี้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความและการปฏิบัติตามสัญญาเช่า
คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่าจำเลยยอมให้โจทก์เช่าศาลาท่าน้ำและชานศาลาเป็นท่าขึ้นลงสำหรับที่เรือจ้างรับส่งคนโดยสาร เมื่อศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญายอมความนั้นแล้วผลก็ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกจำเลยจะอ้างว่า ต้องทำสัญญาเช่ากันใหม่ เพราะเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้าโจทก์ไม่ยอมเซ็นสัญญาเช่าใหม่แล้วจำเลยก็ยังไม่ยอมให้โจทก์เช่า ดังนี้ ไม่ได้ เพราะการเช่าย่อมเกิดขึ้นแล้วตามสัญญายอมความ และตามสัญญายอมความก็ไม่มีข้อความว่าจะต้องไปทำสัญญาเช่ากันใหม่ไม่ ฉะนั้นถ้าจำเลยขัดขืนโจทก์ก็ขอให้ศาลออกคำบังคับจำเลยได้ทีเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันของสัญญายอมความ: การปฏิบัติตามสัญญาเช่าที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอม
คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมให้โจทก์เช่าศาลท่าน้ำและชานศาลาเป็นท่าขึ้นลงสำหรับที่เรือจ้างรับส่งคนโดยสาร เมื่อศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญายอมความนั้นแล้วผลก็ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้นตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 145 วรรคแรก จำเลยจะอ้างว่า ต้องทำสัญญาเช่ากันใหม่ เพราะเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ถ้าโจทก์ไม่ยอมเซ็นสัญญาเช่าใหม่แล้ว จำเลยก็ยังไม่ยอมให้โจทก์เช่า ดังนี้ ไม่ได้เพราะการเช่าย่อมเกิดขึ้นแล้วตามสัญญายอมความ และตามสัญญายอมความก็ไม่มีข้อความว่าจะต้องไปทำสัญญาเช่ากันใหม่ไม่ ฉะนั้นถ้าจำเลยขัดขืนโจทก์ก็ขอให้ศาลออกคำบังคับจำเลยได้ทีเดียว
of 103